ทำความรู้จักกับนกกระทา พร้อมวิธีเลี้ยงสำหรับผู้เริ่มต้น

ก่อนที่เราจะไปรู้จักกับนกกระทาเชื่อว่าหลายคนอาจจะคุ้นชินกับหน้าตาของไข่นกกระทามาบ้างแล้ว แต่น้อยคนที่จะรู้ว่าไข่นกกระทามีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมาก ๆ เพราะไข่นกกระทาสามารถให้โปรตีนได้มากถึง 13 กรัมเมื่อเทียบกับไข่ไก่ที่ให้โปรตีน 12.5 กรัมหรือไข่เป็ดที่ให้โปรตีน 12.8 กรัม จึงถือเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีและสามารถกินเพื่อลดน้ำหนักได้ด้วย นอกจากนี้ไขนกกระทายังช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคร้ายแรงต่าง ๆ โดยมีผลวิจัยจากทางสถาบันรังสีรักษาและมะเร็งวิทยาที่เผยว่า ธาตุซีลีเนียมในไข่นกกระทามีคุณสมบัติในการต่อต้านการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก อีกทั้งยังอุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระและวิตามิน บี12 ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงตับและบำรุงร่างกายด้วย

จากประโยชน์เหล่านี้เองที่ทำให้ใครหลายคนเริ่มหันมารับประทานไข่นกกระทากันมากขึ้น จึงทำให้มีเกษตรกรหลายรายสนใจทำฟาร์มนกกระทาเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ด้วยความที่ใช้เงินลงทุนต่ำแต่ให้ผลกำไรดีและยังสามารถส่งออกไปขายยังต่างประเทศได้ด้วย ซึ่งปัจจุบันมีหลายประเทศที่นำเข้าไข่นกกระทาจากประเทศไทย เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย แคนาดา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยในปีพ.ศ. 2559 ประเทศไทยสามารถสร้างรายได้จากการส่งออกไข่นกกระทาให้กับสหรัฐอเมริกาได้มากถึง 111.38 ล้านบาทเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นการเลี้ยงนกกระทาน่าจะเป็นทางเลือกในการสร้างรายได้ที่ดีในยุคนี้ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับนกชนิดนี้กัน

นกกระทา เป็นนกขนาดเล็ก มีขนเป็นลายจุด ๆ แต่สีสันไม่ฉูดฉาดสวยงามมากนัก อีกทั้งยังเป็นนกที่มีปีกและหางสั้นจึงจัดว่าเป็นนกที่บินได้ไม่ไกลมาก นกกระทาสามารถพบได้ทั่วไปในหลากหลายทวีป ทั้งทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกา และทวีปยุโรป โดยมักจะอาศัยอยู่ตามพื้นดินในบริเวณที่มีต้นไม้หรือบริเวณที่มีพืชปกคุมหนาแน่นเพียงพอที่จะใช้หลบซ่อนตัวจากเหล่านักล่า ดังนั้น เราจะพบเห็นนกกระทาได้ตามบริเวณทุ่งหญ้า พุ่มไม้ตามริมฝั่งแม่น้ำ หรือพื้นที่เกษตรกรรมต่าง ๆ เพื่อความสะดวกในการหาอาหารของนก

ในฝั่งเอเชียบ้านเราประเทศญี่ปุ่นถือว่าเป็นประเทศแรก ๆ ที่นำนกกระทามาเลี้ยง โดยจุดประสงค์ในการเลี้ยงนกกระทาแรกเริ่มสำหรับชาวญี่ปุ่น คือ การเลี้ยงเพื่อเป็นงานอดิเรกและฟังเสียงร้องเหมือนกับการเลี้ยงนกทั่ว ๆ ไปในบ้านเรา แต่ต่อมาได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ของนกกระทาขึ้นมาอีกหลากหลายสายพันธุ์เพื่อนำเนื้อและไข่ของนกกระทามาขายในเชิงเศรษฐกิจ แต่นกกระทาญี่ปุ่นก็ยังคงเป็นสายพันธุ์ของนกกระทาที่ยังได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะสามารถให้ไข่และเนื้อได้มากกว่านกกระทาสายพันธุ์อื่น ๆ 

ข้อมูลโดยทั่วไปของนกกระทา

ชื่อภาษาไทย: นกกระทา 

ชื่อภาษาอังกฤษ: Quail

ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Coturnix coturnix

ตระกูลสัตว์: จัดเป็นนกที่อยู่ในตระกูล Odontophoridae

การแบ่งสายพันธุ์ของนกกระทา

ในเอกสารประกอบการสอนวิชา การผลิตสัตว์ปีกของดร.ประภากร ธาราฉายได้เผยว่า สายพันธุ์ของนกกระทาจากทั่วโลกนั้นมีประมาณ 20 สายพันธุ์ ส่วนนกกระทาที่พบได้ในประเทศไทยมีอยู่ไม่น้อยกว่า 12 สายพันธุ์ คือ

  • นกกระทายุโรป
  • นกคุ่มอกดำ
  • นกคุ่มอกสี
  • นกกระทาทุ่ง
  • นกกระทาไก่นวล
  • นกกระทาดงคอสีแดง
  • นกกระทาอกสีน้ำตาล
  • นกกระทาดงจันทบูรณ์
  • นกกระทาดงแข้งเขียว
  • นกกระทาไก่จุก
  • นกกระทาป่าไผ่
  • นกกระทาสองเดือย

โดยวันนี้ Kaset today จะมาแนะนำ 5 สายพันธุ์นกกระทาที่ได้รับความนิยมและมีการเพาะเลี้ยงมากที่สุดในปัจจุบัน ได้แก่ นกกระทาญี่ปุน นกกระทาเวอร์จิเนีย นกกระทาแคลิฟอร์เนีย นกกระทายุโรป และนกกระทาป่าไผ่ มาดูกันว่าแต่ละสายพันธุ์มีลักษณะอะไรน่าสนใจบ้าง

1) นกกระทาญี่ปุน

นกกระทา

นกกระทาญี่ปุ่น เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในบ้านเรา เพราะเลี้ยงง่าย ให้ไข่ดก และทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่แตกต่างได้ดี

ลักษณะของนกกระทาญี่ปุ่น

นกกระทาญี่ปุ่นที่พบได้ทั่ว ๆ ไป จะมีอยู่ด้วยกัน 3 สี คือ สีดำลายประสีขาว สีทอง และสีขาว ส่วนไข่ของนกกระทาญี่ปุ่นทั้ง 3 สีจะมีลักษณะเหมือนกัน คือ เป็นไข่ที่มีสีลายประเหมือนกันหมด

การออกไข่ของนกกระทาญี่ปุ่น

นกกระทาญี่ปุ่นเป็นสายพันธุ์ที่ออกไข่ดกมากและจะเริ่มออกไข่เมื่อมีอายุได้ประมาณ 42 วัน ใน 1 ปี นกกระทาญี่ปุ่นสามารถออกไข่ได้มากถึง 300 ฟอง โดยไข่ของนกกระทาญี่ปุ่นมีน้ำหนักประมาณ 8-12 กรัม และจะใช้เวลาฟักไข่ประมาณ 16-19 วัน

สภาพแวดล้อมที่นกกระทาญี่ปุ่นชอบ

แหล่งที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติของนกกระทาญี่ปุ่น ได้แก่ บริเวณทุ่งหญ้า พุ่มไม้ริมฝั่งแม่น้ำ และทุ่งเกษตรกรรมที่ปลูกพืชผล เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าว และข้าวบาร์เลย์ นกสายพันธุ์นี้ยังชอบที่อยู่อาศัยแบบเปิดและเนินเขาใกล้แหล่งน้ำด้วย

2) นกกระทาเวอร์จิเนีย

https://www.geocaching.com

นกกระทาเวอร์จิเนียสามารถพบได้ในแถบประเทศแคนาดา สหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และคิวบา อีกทั้งยังสามารถพบได้ในประเทศอื่น ๆ ในแถบแคริบเบียน ยุโรป และเอเชีย ถึงแม้ว่าจะสามารถพบได้ในหลากหลายประเทศ แต่ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติและป่าไม้ส่งผลกระทบให้นกกระทาสายพันธุ์นี้มีปริมาณลดลงไปมาก

ลักษณะของนกกระทาเวอร์จิเนีย

นกกระทาเวอร์จิเนีย จัดได้ว่าเป็นนกกระทาขนาดปานกลาง นกกระทาสายพันธุ์นี้มีความแตกต่างระหว่างเพศที่สังเกตได้ชัดเจน คือ ตัวผู้จะมีคอและคิ้วสีขาว มีแถบสีดำ ส่วนตัวเมียสีสันที่ดูไม่สดใสฉูดฉาดมากเท่าตัวผู้ และมีคอและคิ้วที่ไม่มีแถบสีดำ

การออกไข่ของนกกระทาเวอร์จิเนีย

นกกระทาสายพันธุ์นี้ใช้เวลาฟักไข่ประมาณ 23 วัน โดยหากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม นกกระทาเวอร์จิเนียสามารถวางไข่ได้มากถึง 80 ฟองต่อหนึ่งฤดูกาลวางไข่ โดยสามารถวางไข่ในแต่ละครั้งได้ 8-25 ฟองในคราวเดียว

สภาพแวดล้อมที่นกกระทาเวอร์จิเนียชอบ

นกกระทาเวอร์จิเนียชื่นชอบสภาพแวดล้อมที่มีลักษณะเปิด จึงสามารถพบได้ง่ายตามทุ่งนา ทุ่งหญ้า พื้นที่ป่าเปิดหรือ
ตามริมถนน

3) นกกระทาแคลิฟอร์เนีย

นกกระทา
https://www.eastsideaudubon.org

นกกระทาแคลิฟอเนียร์เป็นนกที่ชอบอาศัยอยู่ตามหุบเขา เป็นสายพันธุ์นกกระทาที่มีความสวยงามเป็นจุดเด่น
โดยมีหงอนที่ด้านบนศีรษะ เป็นนกที่เข้ากับคนได้ง่ายและชอบอยู่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ

ลักษณะของนกกระทาแคลิฟอเนียร์

นกกระทาแคลิฟอเนียร์เป็นสายพันธุ์ที่มีความโดดเด่น จัดเป็นนกขนาดกลางที่มีคอสั้นอวบอ้วน มีหัวและปากเล็ก นกสายพันธุ์นี้มีปีกที่สั้นแต่กว้างมาก หางค่อนข้างยาวเป็นเหลี่ยม ทั้ง 2 เพศมีหงอนแหลม ๆ ยื่นออกมาจากหน้าผาก ในตัวผู้จะยาวกว่าตัวเมีย

การออกไข่ของนกกระทาแคลิฟอเนียร์

ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ นกกระทาแคลิฟอเนียร์ตัวผู้จะร้องเสียงดังเพื่อประกาศอาณาเขต แหล่งเพาะพันธุ์ของนกกระทาแคลิฟอร์เนีย คือ พื้นที่พุ่มไม้และป่าเปิดในอเมริกาเหนือฝั่งตะวันตก ตัวเมียมักจะวางไข่ประมาณ 12 ฟองต่อฤดูกาลวางไข่

สภาพแวดล้อมที่นกกระทาแคลิฟอเนียร์ชอบ 

นกกระทาแคลิฟอเนียร์สามารถพบได้ตามป่าไม้โอ๊ค และป่าเชิงเขา นกสายพันธุ์นี้ค่อนข้างคุ้นชินกับผู้คนและสามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามสวนสาธารณะในเมือง สวนชานเมือง และพื้นที่เกษตรกรรมตามท้องถิ่นที่มันอาศัยอยู่

4) นกกระทายุโรป

https://www.birdguides.com

นกกระทายุโรปเป็นนกสายพันธุ์ขนาดเล็กที่ชื่นชอบการอพยพย้ายถิ่นฐาน สามารถพบเห็นได้แพร่หลายในยุโรปและแอฟริกาเหนือ มีลักษณะคล้ายกับนกกระทาญี่ปุ่นซึ่งมีถิ่นกำเนิดในเอเชีย

ลักษณะของนกกระทายุโรป 

นกกระทายุโรปเพศเมียจะมีน้ำหนักมากกว่าตัวผู้เล็กน้อย นกสายพันธุ์นี้มีลายสีน้ำตาลแถบตาสีขาว มีปีกที่ค่อนข้างยาว 

การออกไข่ของนกกระทายุโรป

เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ นกกระทายุโรปตัวผู้จะเดินทางมาถึงพื้นที่ผสมพันธุ์ซึ่งตั้งอยู่ในยุโรปตอนเหนือก่อนที่ตัวเมียจะเดินทางมาถึง และเริ่มวางไข่ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมไปจนถึงสิ้นเดือนสิงหาคม โดยจะวางไข่ราว ๆ 8-13 ฟอง ไข่จะถูกฟักโดยตัวเมียเพียงตัวเดียวหลังจากที่วางไข่ทั้งหมดแล้ว นกสายพันธุ์นี้ใช้เวลาฟักไข่ประมาณ 17-20 วัน ลูกนกกระทายุโรปจะโตเร็วและหลังจากฟักออกจากไข่ได้ไม่นานก็สามารถหากินได้เอง 

สภาพแวดล้อมที่นกกระทายุโรปชอบ

นกกระทายุโรปชอบสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง นกสายพันธุ์นี้มักจะอพยพไปยังทวีปแอฟริกาและอินเดียตอนใต้ในช่วงฤดูกาลอพยพ ชอบอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าและพื้นที่เพาะปลูกที่เป็นพื้นที่ที่มีพืชพันธุ์ค่อนข้างหนาแน่น

5) นกกระทาป่าไผ่

นกกระทา
https://dktnfe.com

นกกระทาป่าไผ่ เป็นนกกระทาอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่พบได้บริเวณภูเขาสูง เช่น ดอยอินทนนท์ หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอุ้มผาง จังหวัดเชียงใหม่ แต่นอกจากในประเทศไทยแล้ว ยังพบได้ในหลากหลายประเทศในแถบเอเชีย เช่น บังคลาเทศ ทิเบต อินเดีย ลาว เมียนมาร์ และเวียดนาม

ลักษณะของนกกระทาป่าไผ่

นกกระทาป่าไผ่เพศผู้กับเพศเมียอาจดูไม่ต่างกันมากนัก แต่เพศผู้จะมีแถบที่บริเวณหลังตาเป็นสีดำ แถบที่หน้าอกและข้างหลังลำคอจะเป็นสีน้ำตาลอมดำ และบริเวณหลังจะมีสีคล้ำกว่าตัวเมีย นกกระทาป่าไผ่ตัวเมียจะมีปากเล็ก ๆ สีดำอมเทา บริเวณหัวตา คิ้ว แก้มและคางจะเป็นสีครีมและมีหางสีน้ำตาลอมเทา

การออกไข่ของนกกระทาป่าไผ่

นกกระทาป่าไผ่มักผสมพันธุ์ในช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือนมีนาคมไปจนถึงเดือนกันยายน นกกระทาตัวเมียจะใช้เวลาฟักไข่ประมาณ 18-19 วัน ตัวผู้จะอยู่ใกล้รังและให้อาหารตัวเมียและลูกนกเมื่อฟักออกจากไข่แล้ว

สภาพแวดล้อมที่นกกระทาป่าไผ่ชอบ

นกกระทาป่าไผ่ชอบอาศัยอยู่ตามภูมิประเทศที่เป็นภูเขา ใกล้น้ำในป่าขัดไผ่ หรือตามบริเวณทุ่งหญ้าสูง และพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมที่มีดงไผ่ นกสายพันธุ์นี้มักอยู่ใต้พุ่มไม้เกือบตลอดวัน และจะย้ายเข้าไปอยู่ในที่โล่งในช่วงเช้าตรู่และเย็นจนถึงช่วงกลางดึก

ขั้นตอนและวิธีการเลี้ยงนกกระทา 

นกกระทา

1) การเตรียมตัวก่อนเลี้ยง

ก่อนที่จะเลี้ยงหรือจะทำปศุสัตว์นกกระทา ผู้เลี้ยงต้องทำการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเลี้ยงนกกระทาให้ถ่องแท้เสียก่อน เมื่อเข้าใจในวิธีการเลี้ยงและการดูแลแล้ว ขั้นตอนต่อไปจึงเป็นการเตรียมพื้นที่และเตรียมอุปกรณ์ในการเลี้ยงนกกระทาให้พร้อม

การเตรียมพื้นที่หรือโรงเรือนให้นกกระทา

โรงเรือนของนกกระทาควรวางแปลนให้สามารถเข้าไปดูแลและทำความสะอาดได้ง่าย ประตูเข้าออกโรงเรือนควรปิดสนิทเพื่อป้องกันศัตรูนกและสัตว์นักล่า ถ้าเลี้ยงนกกระทาแบบซ้อนกรงหลายชั้น โรงเรือนควรมีเพดานสูง เพราะความร้อนมักถ่ายเทลงมาจากเพดาน ที่สำคัญควรอุดรูหรือช่องโหว่ไม่ให้แมลงหรือหนูเข้ามาในโรงเรือนได้ 

การจัดโรงเรือนให้มีการระบายอากาศนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะสิ่งปฏิกูลจากนกกระทานั้นมีกลิ่นแอมโมเนียแรงมากซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อเยื่อตาและสุขภาพโดยรวมของนก อีกทั้งยังควรควบคุมอุณหภูมิให้อยู่ที่ประมาณ 20 องศาเซลเซียสอีกด้วย

การเตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ในการเลี้ยงนกกระทา

  • กรง: ขนาดของกรงนกขึ้นอยู่กับขนาดของนกระทาที่เลี้ยง โดยด้านกว้างของกรงควรจะทึบ ส่วนด้านยาวควรมีความโปร่ง แต่ในฤดูหนาวควรปิดทึบทั้ง 4 ด้าน พื้นกรงควรใช้ลวดตาข่ายและควรมีภาชนะรองรับมูลนกเพื่อไม่ให้ตกลงไปที่กรงด้านล่าง หากเลี้ยงแบบซ้อนกรง
  • กระสอบ ถุงอาหารสัตว์ หรือผ้าหนา ๆ: ใช้เพื่อปูพื้นป้องกันขานกติดช่องตาข่าย และเพื่อช่วยเพิ่มความอบอุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาว แต่หากเลี้ยงบนพื้นอาจทดแทนด้วยแกลบ ขี้เลื่อย หญ้าแห้งสับ 
  • หลอดไฟฟ้าแบบหรี่แสงได้: เพราะเมื่อลูกนกกระทาออกมาจากไข่ใหม่ ๆ ลูกนกกระทาจะต้องการความอบอุ่น หลอดไฟฟ้านอกจากจะช่วยให้แสงสว่างแล้วยังช่วยเพิ่มความอบอุ่นได้อีกด้วย
  • ที่ให้น้ำ ให้อาหาร: ควรจัดเตรียมมาให้เพียงพอกับจำนวนนกที่เลี้ยง หากเตรียมไว้ไม่เพียงพอ นกอาจมาแย่งกันกินและเหยียบกันตายได้

การคัดแยกเพศ

การคัดแยกเพศของนกกระทาสามารถทำได้เมื่อนกมีอายุ 3 สัปดาห์ขึ้นไป โดยแยกจากความแตกต่างของสีและลวดลายบนขน หรืออาจสังเกตได้จากต่อมที่บริเวณทวารหนัก

นกกระทาตัวผู้จะมีขนหน้าอกเป็นสีเหลืองแกมน้ำตาลปนขาวหรือน้ำตาลปนแดง ส่วนตัวเมียมักจะมีสีที่บริเวณคอไม่เข้มหรืออาจมีสีน้ำตาลปนเทา และมีลายดำปนขาวหรือน้ำตาลปนดำ

นกกระทาตัวผู้เมื่ออายุย่างเข้า 4 สัปดาห์ ก้นจะพองเป็นกระเปาะ เมื่อค่อย ๆ บีบที่ก้นจะมีน้ำสีขาว ๆ เป็นฟองไหลออกมา ส่วนก้นของตัวเมียจะเรียบแบน ไม่มีน้ำที่เป็นฟองๆ ไหลออกมาเหมือนของตัวผู้ นกกระทาตัวเมียเมื่อกำลังมีไข่ท้องจะดูหย่อนยาน ช่วงกระดูเชิงกรานกว้าง 

เมื่อแยกเพศของนกกระทาได้แล้ว นกกระทาตัวผู้จะถูกนำไปเลี้ยงเป็นนกเนื้อขาย ส่วนนกกระทาตัวเมียจะถูกนำไปตัดปากและถูกนำไปเลี้ยงเป็นนกกระทาไข่

2) วิธีการเลี้ยง

หลักการเลี้ยงดูนกกระทาที่ถูกต้องจะช่วยให้นกกระทาออกไข่และให้ผลผลิตในปริมาณที่มาก และเป็นผลผลิตที่มีคุณภาพ หลักการเลี้ยงดูนกกระทา มีดังนี้

  • นกแรกเกิดควรเลี้ยงในกรงกก ปูพื้นด้วยกระสอบป่าน กกด้วยหลอดไฟ 60 วัตต์ ประมาณ 2 สัปดาห์
  • เปลี่ยนวัสดุรองพื้นกรงทุกวันเพื่อป้องกันเชื้อโรคและป้องกันโรคบิดในนก
  • ให้อาหารลูกนกกระทาอายุ 1-2 สัปดาห์ ด้วยโปรตีนเข้มข้น 20% ตลอด 24 ชั่วโมง และเปิดไฟกกลูกนก
  • เมื่อนกไข่ได้เพียง 5% ให้เปลี่ยนอาหารเป็นโปรตีนเข้มข้น 18-19% ในช่วงเช้ามืดและกลางวัน เลี่ยงการให้อาหารเมื่ออากาศร้อน เมื่อนกไข่ได้มากขึ้น จึงค่อย ๆ ลดความเข้มข้นของโปรตีนลงมาอยู่ที่ 15-16%
  • นกไข่ควรให้แสงสว่างเป็นเวลา 14-16 ชั่วโมง

การให้อาหาร

อาหารสำหรับนกสามารถให้เป็นอาหารสำเร็จรูปหรือจะผสมอาหารเองก็ได้ โดยเน้นให้มีสัดส่วนโปรตีนในอาหารอยู่ที่ 24-28% หรือสามารถให้อาหารไก่งวงแก่นกกระทาก็ได้

การให้น้ำ

แนะนำให้ใช้น้ำสะอาดและใส่กรวดเล็ก ๆ ลงไปในน้ำ ลูกนกที่มีอายุประมาณ 3-7 วัน ควรใส่ยาปฏิชีวนะผสมน้ำให้ลูกนกกิน จะช่วยให้ลูกนกโตเร็วและแข็งแรง น้ำและอาหารควรเตรียมให้พร้อมและควรมีให้เพียงพอตลอดเวลาไม่ให้ขาด

3) การผสมพันธุ์

ก่อนนำพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ของนกกระทามาผสมพันธุ์กันนั้น ควรเลือกพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่มีลักษณะดี ตัวผู้ควรเป็นนกที่เติบโตเร็ว แข็งแรง และมีลักษณะของพ่อพันธุ์ที่ดี ส่วนตัวเมียก็ควรเป็นนกที่โตเร็วและแข็งแรงด้วยเช่นเดียวกัน

นกกระทาทั้งตัวผู้และตัวเมียที่พร้อมผสมพันธุ์มีอายุอยู่ที่ระหว่าง 50-70 วัน นกตัวเมียที่พร้อมผสมพันธุ์ลักษณะของส่วนท้องที่ติดบริเวณก้นจะมีความใหญ่กว่าปกติ 

การผสมพันธุ์ไม่ควรใช้นกที่มีสายเลือดใกล้ชิดกันเกินไป เพราะอาจทำให้ลูกนกที่เกิดมาพิการหรือเปอร์เซ็นต์การฟักไข่จะน้อยกว่าปกติ อัตราการผสมพันธุ์ควรใช้ตัวผู้ 1 ตัวต่อตัวเมีย 2 ตัว แต่ไม่ควรผสมพันธุ์กับตัวเมียเกิน 3 ตัว เชื้อของไข่นกกระทาจะเริ่มลดลงเมื่อนกมีอายุได้ประมาณ 8 เดือน เมื่อนกตัวเมียอายุมากเปอร์เซ็นต์การฟักไข่จะลดลง

4) การฟักไข่และเก็บไข่ 

ไข่นกกระทา

การเก็บรักษาไข่รอฟัก ให้เชื้อแข็งแรง

หลังจากที่แม่นกกระทาออกไข่ออกมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการดูแลรักษาไข่และการเก็บรักษาไข่ให้ดีที่สุดก่อนนำไปขาย ไข่ที่เราจะนำมาฟักได้ควรได้รับการผสมพันธุ์จากพ่อนกแล้วเป็นเวลา 1 สัปดาห์ แต่หากต้องการรวบรวมไข่เพื่อนำมาฟักทีเดียว ควรเก็บรักษาไข่ให้เชื้อแข็งแรง ด้วยวิธีการต่อไปนี้

  • เก็บไว้ในที่ที่อากาศเย็น สะอาด และไม่อับชื้น
  • เก็บไว้ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก
  • ไม่ควรเก็บไข่ฟักนานเกิน 7 วัน เพราะจะทำให้ฟักออกมาเป็นตัวลดลง

การแยกเชื้อไข่ที่ตายแล้ว

สีที่ปรากฏอยู่บนเปลือกไข่นกกระทานั้นมีหลากหลายสี ทำให้ยากต่อการแยกไข่ที่เชื้อตายแล้ว ดังนั้น จึงต้องเอาสีออกจากเปลือกไข่เสียก่อน ซึ่งสามารถทำได้ด้วยวิธีต่อไปนี้

  • จุ่มไข่ลงไปในสารควอเตอร์นารีแอมโมเนีย ที่อุณหภูมิ 85-95 องศาฟาเรนไฮต์
  • ขัดด้วยกระดาษทรายหยาบหรือฝอยขัดหม้อเบา ๆ ให้สีหลุดลอกออกไป
  • ทิ้งไว้ให้เปลือกไข่แห้ง ก่อนนำไปฟักต่อไป

การเก็บรักษาไข่ฟัก

  • เก็บในที่สะอาด ไม่มีฝุ่น ควบคุมอุณหภูมิที่ประมาณ 12.3 องศาเซลเซียส
  • ควรเก็บไข่ให้ด้านป้านขึ้นด้านบน
  • เก็บไข่ในถุงพลาสติกจะช่วยให้เก็บไข่ได้นานขึ้นถึง 13-21 วัน

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการฟักไข่นกกระทา

  • ระยะเวลาการผสมพันธุ์: ไข่นกกระทาอาจมีเชื้อได้ 24 ชั่วโมงหลังผสมพันธุ์แบบธรรมชาติ หรือแบบฝูง 3-5 วัน หากเก็บไข่ไวเกินไป ไข่อาจยังไม่มีเชื้อ
  • ฤดูกาล: ในประเทศไทย ฤดูฟักไข่ของนกกระทาจะอยู่ที่ช่วงเดือนธันวาคมไปจนถึงเดือนมีนาคม หากอุณหภูมิอากาศสูงกว่าประมาณ 94 องศาฟาเรนไฮต์ อสุจิจะเสื่อมตามธรรมชาติและเป็นหมันชั่วคราว ช่วงหน้าร้อนจึงไม่ค่อยเหมาะกับการผสมพันธุ์เท่าไหร่
  • อาหาร: การให้อาหารที่สารอาหารไม่ครบถ้วนจะส่งผลต่อสุขภาพของพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์ และอาจทำให้เชื้อในพ่อพันธุ์ไม่แข็งแรงได้
  • การผสมพันธุ์: การผสมพันธุ์สายเลือดชิดอาจทำให้ลูกนกที่เกิดมาพิการหรือไม่แข็งแรงได้

วิธีรักษาและป้องกันโรคที่พบได้ในนกกระทา

สิ่งมีชีวิตกับโรคภัยเป็นของคู่กัน ในนกกระทาก็เช่นเดียวกัน แต่เราจะทำอย่างไรเพื่อรักษาและป้องกันโรคที่เกิดขึ้นกับนกกระทาที่เราเลี้ยงเอาไว้ 

การป้องกันรักษาโรคในนกกระทานั้นไม่ได้มีความแตกต่างไปจากการป้องกันและรักษาโรคในเป็ดและไก่มากนัก แต่ข้อดีของการเลี้ยงนกกระทา คือ นกสายพันธุ์นี้มีความต้านทานต่อโรคต่าง ๆ ได้ดีกว่าเป็ดและไก่ แต่ทั้งนี้ต้องระวังไม่ให้แม่นกกระทาติดโรค เพราะโรคจะส่งผลถึงไข่และตัวอ่อนด้วย

5) การป้องกันโรคในนกกระทา

โรคที่เกิดขึ้นกับนกกระทามีทั้งที่เป็นโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ อีกทั้งยังมีโรคที่เกิดจากพยาธิต่าง ๆ ดังนั้น การดูแลสุขภาพและป้องกันโรคที่อาจเกิดขึ้นในนกกระทาจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยสามารถทำได้ ดังนี้

  • เลือกซื้อนกกระทาหรือไข่ที่เลี้ยงแบบแยก และห่างจากฟาร์มสัตว์ปีกชนิดอื่น ๆ
  • เลือกซื้อจากแหล่งที่มั่นใจว่าปลอดโรคและมีหนังสือรับรองการฉีดวัคซีนหรือการให้ยาเป็นลายลักษณ์อักษร
  • ไม่ควรใช้ไข่ที่ฟักจากฝูงที่ป่วยเป็นโรค
  • หมั่นรักษาความสะอาดอย่างสม่ำเสมอด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค
  • หมั่นตรวจโรคเป็นประจำ หากตรวจพบบว่านกเป็นโรค ให้แยกขังเป็นเวลาประมาณ​ 2 สัปดาห์
  • เปลี่ยนกรงและทำลายกรงทันทีเมื่อรู้ว่านกติดโรค เพื่อป้องกันเชื้อแอบแฝงและการแพร่กระจายเชื้อโรค

6) การป้องกันศัตรูนก

ศัตรูของนกกระทามีได้ทั้งนกชนิดอื่น ๆ หนู และแมลงต่าง ๆ ที่มักจะมาแย่งอาหารนกกระทาที่เลี้ยงไว้ และอาจไปสร้างความสกปรกในกรงหรือบริเวณที่เลี้ยงนกกระทาไว้ รวมถึงอาจเป็นพาหะนำโรคทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ 

การป้องกันศัตรูนกควรเริ่มตั้งแต่การนำนกเข้ากรง โดยสามารถทำได้ ดังนี้

  • สำรวจและอุดรูต่าง ๆ ที่พวกแมลง นก หรือหนูอาจเข้ามาในกรงนกกระทาได้
  • กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของเหล่าศัตรูนก โดยการใช้ยาฆ่าแมลงหรือใช้กับดัก เป็นต้น
  • หมั่นดูแลรักษาเรื่องความสะอาดและกำจัดสิ่งสกปรกต่าง ๆ ในกรงออกให้หมด

7) การแก้ปัญหานกจิกกันในฝูง

ปัญหานกจิกกันในฝูงอาจทำให้เกิดแผลและเกิดการติดเชื้อได้ วิธีการสังเกตนกจิกกันให้สังเกตที่บริเวณหัวและหลัง หรือสังเกตว่ามีขนหลุดออกมามากผิดปกติ โดยวิธีการแก้ปัญหานกกระทาจิกกัน สามารถทำได้ ดังนี้

  • ขลิบปาก จี้ปาก หรือตัดปาก
  • ลดความเข้มของแสงสว่างในกรงลง เนื่องจากนกกระทาอ่อนไหวและมักตกใจต่อแสงที่เปลี่ยนแปลงง่าย เมื่อนกตกใจจะหันไปจิกกันเอง
  • ลดปริมาณนกกระทาในกรงให้เหมาะสม ไม่แน่นและแออัดจนเกินไป
  • แยกนกที่ถูกจิกออกมาต่างหาก เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค

อาหารที่จะช่วยให้นกกระทาแข็งแรงมีผลผลิตที่ดี

วัตถุดิบในการผลิตอาหารนกกระทานั้นเหมือนที่ใช้ในอาหารไก่ แต่เม็ดอาหารต้องละเอียดกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลูกนกกระทาช่วง 2 สัปดาห์แรก นกกระทาต้องการสารอาหารจำพวกโปรตีนในปริมาณที่สูงกว่าไก่ เพราะมีอัตราการเจริญเติบโตสูงกว่า

1) หลักการให้อาหารนกกระทา

  • สามารถกินอาหารป่นแห้ง เม็ดบี้แตก หรืออาหารเปียกได้
  • การผสมอาหารสำหรับลูกนกกระทาควรบดให้ละเอียดที่สุด
  • ควรให้อาหารลูกนกทันทีเมื่อลูกนกมาถึง
  • ต้องมีอาหารและน้ำให้นกกินตลอดเวลา
  • ช่วงกกไข่ 2-3 วันแรก ต้องให้อาหารนกอย่างเต็มที่
  • ช่วง 6 สัปดาห์แรกของนกกระทา ควรให้อาหาร 500 กรัมต่อตัว ต่อวัน
  • นกกระทาจะกินอาหารน้อยลงในช่วงหน้าร้อน ควรเพิ่มปริมาณโปรตีนและวิตามินให้สูงขึ้น

2) การใช้ใบมะรุมเป็นอาหารนกกระทา

ใบมะรุม

จากการทดลองใช้ใบมะรุมเป็นส่วนประกอบในอาหารนกกระทา พบว่า นกกระทาจะกินอาหารน้อยลง แต่ปริมาณกรดแลคติกเพิ่มสูงขึ้น ใบมะรุมจึงเป็นวัตถุดิบที่เหมาะสม และเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีที่สามารถใช้ทดแทนสารสีสังเคราะห์ได้อย่างปลอดภัย โดยสามารถใช้ใบมะรุม 12% เป็นส่วนผสมในอาหารนกกระทาได้ ซึ่งใบมะรุมช่วยทำให้สีของไข่แดงมีค่าเพิ่มสูงขึ้น

3) การใช้ใบเตยเป็นอาหารนกกระทา

ใบเตย

จากการทดลองพบว่าสารคลอโรฟิลล์และอนุพันธ์ในใบเตยมีผลต่อการเจริญเติบโตต่อสัตว์ และช่วยส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร ระบบหายใจ และช่วยกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมภาวะโภชนาการและการทำงานของฮอร์โมน ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพของไข่ เพิ่มสีของไข่แดง ลดการสูญเสียน้ำหนักไข่ลดกลิ่นคาวไข่ ให้นกกระทาออกไข่มากกว่าเดิม ไข่มีคุณภาพดีกว่าเดิมและยังช่วยวยืดอายุไข่ให้ยาวนานขึ้นด้วย

ประโยชน์ของการเลี้ยงนกกระทา

นกกระทา

การเลี้ยงนกกระทาแรกเริ่มเดิมทีอาจเลี้ยงไว้เพื่อความเพลิดเพลินหรือเป็นงานอดิเรกสำหรับผู้ที่ชื่นชอบนกหรือชื่นชอบการฟังเสียงนอก แต่ปัจจุบันได้มีการนำนกกระทามาเลี้ยงในเชิงเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้กันมากขึ้น ไข่และเนื้อนกกระทามีคุณค่าทางโปรตีนที่สูง สามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย แถมนกกระทายังเป็นสายพันธุ์นกที่มีความอดทน จึงนิยมนำไปใช้เป็นสัตว์ทดลองด้วย

1) ลงทุนน้อยได้กำไรมาก

ในการลงทุนเพื่อเลี้ยงนกกระทานั้น ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนไปกับค่าโรงเรือน ค่าอุปกรณ์ในการเลี้ยง ค่าอาหาร และค่าสายพันธุ์ของนกกระทา และยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อีก เช่น ค่าวัคซีนหรือค่ายา ซึ่งต้นทุนจะอยู่ที่ประมาณ​ 160,000-170,000 บาทในระยะเริ่มแรก แต่ในนกกระทารุ่นต่อ ๆ ไป ไม่จำเป็นต้องลงทุนในโรงเรือนและอุปกรณ์อีก

2) สามารถแปรรูปเพื่อส่งออกได้

ผลิตภัณฑ์จากนกกระทา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหรือไข่ สามารถนำไปแปรรูปขายสร้างรายได้มหาศาล โดยตลาดนกกระทานั้นค่อนข้างกว้างและเป็นที่ต้องการไปทั่วโลก ทั้งในแถบเอเชีย ยุโรป อเมริกา แคนาดา และออสเตรเลีย
ส่งออกทั้งในรูปแบบเนื้อนกกระทาแช่แข็ง ไข่นกกระทาบรรจุกระป๋องและไข่นกกระทาสด  

3) ไข่นกกระทากำลังเป็นที่ต้องการ

ราคาไข่นกกระทาตามท้องตลาดนั้น ถือว่าสร้างรายได้และทำกำไรได้ดีด้วยการลงทุนต่ำ เพราะนกกระทาสามารถออกไข่ได้ถึง 7-8% ของน้ำหนักตัว และให้ผลตอบแทนที่รวดเร็ว ตลาดของไข่นกกระทา มีทั้งกลุ่มบุคคลทั่วไป กลุ่มนักท่องเที่ยว โดยไข่นกกระทาเป็นที่ต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะในต่างประเทศ ไข่นกกระทาได้รับความนิยมไปทั่วโลกทั้งอเมริกาเหนือ ยุโรปตะวันตก หรือเอเชีย เป็นต้น

4) นำมาเพาะพันธุ์ขายต่อได้กำไรดี

เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์จากนกกระทาเป็นที่ต้องการสูง การนำนกกระทามาเพาะพันธุ์ขายจึงสามารถสร้างกำไรได้ดีในการลงทุนด้วยต้นทุนที่ต่ำ เพราะนกกระทาเป็นนกขนาดเล็กจึงใช้พื้นที่น้อย กลุ่มลูกค้าสามารถเป็นได้ทั้งกลุ่มเกษตรกรที่ต้องการพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ชั้นดีไปเพาะเพื่อขายเนื้อหรือไข่ต่อ และกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบนกที่กำลังมองหานกกระทาพันธุ์ดี

การสร้างรายได้จากนกกระทาเรียกได้ว่าสามารถรายได้อย่างมหาศาล เพราะผลิตภัณฑ์จากนกกระทาสามารถขายได้ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์นก เนื้อ และไข่ นอกจากนี้ มูลนกและซากนกยังสามารถขายทำเงินได้ด้วย แต่ทั้งนี้ ก่อนที่จะเริ่มต้นเลี้ยงนกกระทาเพื่อสร้างรายได้ ควรค้นคว้าและหาข้อมูลอย่างละเอียด เพื่อให้ธุรกิจฟาร์มนกกระทาสามารถสร้างรายได้โดยไม่ขาดทุน

แหล่งที่มา
การเลี้ยงนกกระทา, กรมปศุสัตว์
สารต้านอนุมูลอิสระกับการป้องกันการเกิดมะเร็ง, Confettissimo Online

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความนี้