ปลาดุก ปลาเศรษฐกิจ พร้อมวิธีการเลี้ยงและการอนุบาลดูแล

ปลาดุก เป็นปลาที่คนไทยทุกภาครู้จักกันดี เนื่องจากได้รับความนิยมนำมารับประทานกันอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะนำมาทำเมนูย่าง ทอด ต้ม แกง ทำปลาดุกฟูและที่ได้รับความนิยมอีกหนึ่งเมนูคือ ลาบปลาดุก นอกจากนั้นยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น ปลาดุกแดดเดียว เป็นต้น ปลาดุกเป็นปลาที่สามารถเลี้ยงได้ง่าย โตเร็ว และอดทนต่อสภาพแวดล้อม จึงทำให้ในปัจจุบันมีเกษตรกรหันมาเลี้ยงปลาดุกกันอย่างกว้างขวาง และปลาดุกยังสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้เลี้ยงได้อย่างมาก ในประเทศไทยมีการเลี้ยงปลาดุกด้วยกันทั้งหมด 5 ชนิด แต่เท่าที่รู้จักมีเพียง 2 ชนิดคือ ปลาดุกอุย และปลาดุกด้าน ที่นิยมเลี้ยงกันคือ ปลาดุกด้าน เพราะเนื้อปลาค่อนข้างแข็ง ทำให้สามารถขนส่งได้ในระยะทางไกล ๆ และปลาดุกด้านยังเลี้ยงง่าย โตเร็วอีกด้วย แต่หากเลี้ยงสัตว์ชนิดนี้ไว้เพื่อรับประทาน ปลาดุกอุยจะได้รับความนิยมมากว่า เพราะปลาดุกอุยมีรสชาติดี เนื้อปลานุ่ม ฟู กลิ่นดีนั่นเอง นอกจากนี้ปลาดุกยังสามารถเลี้ยงได้ทั้งในบ่อดิน บ่อซีเมนต์ และในกระชัง ซึ่งสะดวกต่อการดูแลรักษาอีกด้วย

ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับปลาดุก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.คณิต ชูคันหอม คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ปลาดุกจะพบได้ทั่วไปในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และมาเลเซีย ปลาดุกที่พบในประเทศไทยมีอยู่ 5 ชนิด ประมาณปลายปี พ.ศ. 2530 เกษตรกรได้นำพันธุ์ปลาดุกชนิดหนึ่งจากประเทศลาวเข้ามาเลี้ยงในประเทศไทย ซึ่งกรมประมงได้ให้ชื่อว่าปลาดุกเทศ (ปลาดุกยักษ์ หรือ ปลาดุกรัสเซีย) มีถิ่นกำเนิดในทวีปแอฟริกา เป็นปลาที่มีการเจริญเติบโตได้รวดเร็วมาก สามารถกินอาหารได้แทบทุกชนิด มีความต้านทานโรคและสภาพแวดล้อมสูงเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่ แต่ปลาดุกชนิดนี้มีเนื้อเหลว และมีสีซีดขาว ไม่น่ารับประทาน ต่อมานักวิชาการไทยได้ประสบความสำเร็จในการผสมเทียมข้ามพันธุ์ ระหว่างปลาดุกอุยเพศเมียและปลาดุกอุยเพศผู้ ได้ปลาลูกผสมเรียกว่า ดุกอุยเทศ หรือบิ๊กอุย ซึ่งผลที่ได้นั้นบิ๊กอุยเป็นที่นิยมเลี้ยงของเกษตรกร เนื่องจากเลี้ยงง่าย มีอัตราการเจริญเติบโตที่รวดเร็ว อีกทั้งทนทานต่อโรคและสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าปลาดุกชนิดอื่น ๆ ทั้งยังเป็นที่นิยมบริโภคของคนทั่วไป เนื่องจากมีรสชาติดีและราคาถูก ทำให้ปัจจุบันปลาดุกบิ๊กอุยได้รับการนิยมและเข้ามาแทนที่ตลาดปลาดุกด้านไปโดยปริยาย

ลักษณะปลาดุก
www.smeleader.com

ลักษณะนิสัยของปลาดุก

ปลาดุกมีลักษณะที่ต่างจากปลาอื่นอย่างเห็นได้ชัดคือ ปลาดุกไม่มีเกล็ด รูปร่างเรียวยาว มีหนวด 4 คู่อยู่ที่ริมฝีปาก ตามีขนาดเล็กมาก ใช้หนวดในการหาอาหาร เพราะหนวดปลาดุกมีประสาทรับความรู้สึกที่ดีกว่าตา ปลาดุกชอบหากินตามหน้าดิน มีนิสัยว่องไว สามารถจะขึ้นมาอยู่บนบกได้ทนนานกว่าปลาชนิดอื่น ๆ รวมถึงสามารถที่จะอาศัยอยู่ในดิน โคลน เลน และในน้ำที่มีปริมาณออกซิเจนต่ำได้นาน เนื่องจากมีอวัยวะพิเศษช่วยในการหายใจ อาหารที่ปลาดุกชอบกิน ส่วนมากเป็นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ แต่ถ้านำมาเลี้ยงในบ่อก็สามารถฝึกให้กินอาหารจำพวกพืชได้ รวมถึงสามารถฝึกนิสัยให้ปลาดุกขึ้นมากินอาหารบริเวณผิวน้ำแทนการหาอาหารกินตามหน้าดินได้เช่นกัน

แหล่งกำเนิดและถิ่นอาศัย

แหล่งกำเนิดของปลาดุกค่อนข้างกว้าง คือ มีอยู่ทั่วไปในน้ำจืดในเขตร้อน แถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ศรีลังกา และหมู่เกาะบอร์เนียว สำหรับในประเทศไทยปลาดุกจะมีถิ่นอาศัยตามธรรมชาติ โดยจะพบเห็นทั่วไปตามลำคลอง ห้วย หนอง และบึงทั่วประเทศ ส่วนตามแม่น้ำนั้นปลาดุกจะมีอาศัยอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก โดยธรรมชาติแล้วปลาดุกชอบอาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำซึ่งพื้นดินเป็นโคลนและมีน้ำจืดสนิท ไม่ชอบอาศัยอยู่ในน้ำใส อยู่ได้ทั้งน้ำนิ่งและน้ำไหล อาศัยอยู่ในระดับน้ำที่ไม่ลึกมาก หรือแม้แต่ในแหล่งที่มีน้ำเพียงเล็กน้อยก็ยังพบปลาดุกอาศัยอยู่ได้ หรือในเขตที่มีน้ำค่อนข้างกร่อยปลาดุกก็สามารถอาศัยอยู่ได้เหมือนกัน

ประวัติปลาดุก
www.thairath.co.th

การเตรียมพันธุ์ปลา

การเลือกซื้อลูกปลาควรพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

  1. แหล่งพันธุ์หรือบ่อเพาะฟัก ควรดูจากความน่าเชื่อถือและไว้วางใจได้ในเรื่องคุณภาพ
  2. มีการคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ เพื่อให้ได้พันธุ์ที่มีคุณภาพ
  3. มีความชำนาญในการขนส่งลูกปลา
  4. ลักษณะภายนอกของลูกปลาต้องปกติสมบูรณ์ ซึ่งสังเกตจาก
  5. การว่ายน้ำต้องปราดเปรียว ไม่ว่างควงสว่าน หรือลอยตัวตั้งฉากพื้นบ่อ
  6. ลำตัวสมบูรณ์ หนวด หาง  ครีบ ไม่กร่อน ไม่มีบาดแผล ไม่มีจุดหรือปุยขาวเกาะ
  7. ขนาดลูกปลาต้องเสมอกัน

การอนุบาลลูกปลาดุก

การอนุบาลลูกปลาดุกในบ่อซีเมนต์

สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนัก กปร.) และ ศูนย์ศึกษาพัฒนาภูพานอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จังหวัดสกลนคร ได้ให้ความรู้ไว้   การอนุบาลลูกปลาดุกในบ่อซีเมนต์ สามารถดูแลรักษาได้ง่าย ขนาดของบ่อซีเมนต์ควรมีขนาดประมาณ 2-5 ตารางเมตร ระดับความลึกของน้ำที่ใช้อนุบาลลึกประมาณ 15-30 เซนติเมตร การอนุบาลปลาดุกที่มีขนาดเล็ก (อายุ 3 วัน) ระยะแรกควรใส่น้ำในบ่ออนุบาลลึกประมาณ 10-15 เซนติเมตร เมื่อลูกปลามีขนาดใหญ่ขึ้นจึงค่อย ๆ เพิ่มระดับน้ำให้สูงขึ้น การอนุบาลให้ลูกปลาดุกมีขนาด 2-3 เซนติเมตร จะใช้เวลาประมาณ 10-14 วัน น้ำที่ใช้ในการอนุบาลจะต้องเปลี่ยนถ่ายทุกวัน เพื่อเร่งให้ลูกปลาดุกกินอาหารและมีการเจริญเติบโตดี อีกทั้งเป็นการป้องกันการเน่าเสียของน้ำด้วย การอนุบาลปลาดุกจะปล่อยในอัตรา 3,000-5,000 ตัว/ตรม. อาหารที่ใช้คือไรแดงเป็นหลัก ในบางครั้งอาจให้อาหารเสริมบ้าง เช่น ไข่ตุ๋นบดละเอียด เต้าหู้อ่อนบดละเอียด หรืออาจให้อาหารเร่งการเจริญเติบโต ซึ่งหากให้อาหารเสริมจะต้องระวังเกี่ยวกับการย่อยของลูกปลา และการเน่าเสียของน้ำในบ่ออนุบาลให้ดีด้วย

การอนุบาลลูกปลาดุกในบ่อดิน

บ่อดินที่ใช้อนุบาลลูกปลาดุกควรมีขนาด 200-800 ตรม. บ่อดินที่จะใช้อนุบาลจะต้องมีการกำจัดศัตรูของลูกปลาก่อนและพื้นก้นบ่อควรเรียบ สะอาด ปราศจากพืชพรรณไม้น้ำต่าง ๆ ควรมีร่องขนาดกว้างประมาณ 0.5-1 เมตร ยาวจากหัวบ่อจรดท้ายบ่อ และลึกจากระดับพื้นก้นบ่อประมาณ 20 เซนติเมตร เพื่อความสะดวกในการรวบรวมลูกปลา และตรงปลายร่องควรมีแอ่งลึก มีพื้นที่ประมาณ 2-4 ตรม. เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมลูกปลา การอนุบาลลูกปลาดุกในบ่อจะต้องเตรียมอาหารสำหรับลูกปลา โดยการเพาะไรแดงไว้ล่วงหน้า เพื่อเป็นอาหารให้แก่ลูกปลาก่อนที่จะปล่อยลูกปลาดุกลงอนุบาลในบ่อ การอนุบาลในบ่อดินจะปล่อยในอัตรา 300-500 ตัว/ตรม. การอนุบาลลูกปลาให้เติบโตได้ขนาด 3-4 เซนติเมตร ใช้เวลาประมาณ 14 วัน แต่การอนุบาลลูกปลาดุกในบ่อดินนั้น สามารถควบคุมอัตราการเจริญเติบโตและอัตราการรอดได้ยากกว่าการอนุบาลในบ่อซีเมนต์

การอนุบาลลูกปลาดุก
xn--12car6c8a2bgqd8jg5a9bzg6f.blogspot.com

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อเลี้ยงต่างๆ

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์

ขั้นตอนการเลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์มีดังนี้

  1. อัตราปล่อยปลาดุก
    ควรปรับสภาพของน้ำในบ่อที่เลี้ยงให้มีสภาพเป็นกลางหรือเป็นด่างเล็กน้อย แต่ต้องแน่ใจว่าบ่อซีเมนต์จะต้องหมดฤทธิ์ของปูน ปลูกปลาขนาด 2-3 ซม. ควรปล่อยในอัตราประมาณ 100 ตัว/ตรม. เพื่อป้องกันโรคซึ่งอาจจะติดมากับลูกปลา ใช้น้ำยาฟอร์มาลินใส่ในบ่อเลี้ยง อัตราความเข้มขึ้นประมาณ 30 ส่วนในล้าน (30 มิลลิลิตร/น้ำ 1 ตัน ในวันที่ปล่อยลูกปลาไม่จำเป็นต้องให้อาหารควารเริ่มให้ในวันถัดไป)
  2. การให้อาหาร
    เมื่อปล่อยลูกปลาดุกลงในบ่อแล้ว อาหารที่ให้ในช่วงที่ลูกปลาดุกมีขนาดเล็ก (2-3 ซม.) ควรให้อาหารผสมคลุกน้ำปั้นเป็นก้อนให้ลูกปลากิน โดยให้กินวันละ 2 ครั้ง หว่านให้กินทั่วบ่อ โดยเฉพาะในบริเวณขอบบ่อ เมื่อลูกปลามีขนาดโตขึ้นความยาวประมาณ 5-7 ซม. สามารถฝึกให้กินอาหารเม็ดได้ หลักจากนั้นเมื่อปลาโตขึ้นจนมีความยาว 15 เซนติเมตรขึ้นไป จะให้อาหารเม็ดเพียงอย่างเดียวหรืออาหารเสริมชนิดต่าง ๆ ได้ เช่น ปลาเป็ดผสมรำละเอียดอัตรา 9:1 หรือให้อาหารที่ลดต้นทุน เช่น อาหารผสมบดจากส่วนผสมต่าง ๆ เช่น กระดูกไก่ ไส้ไก่ เศษขนมปัง เศษเส้นหมี่ เศษเลือดหมู เลือดไก่ เศษเกี๊ยว หรือเศษอาหารเท่าที่สามารถหาได้ นำมบดรวมกันแล้วผสมให้ปลากิน แต่การให้อาหารประเภทนี้จะต้องระวังเรื่องคุณภาพของน้ำในบ่อ เมื่อเลี้ยงปลาได้ประมาณ 2 เดือนปลาจะมีขนาดประมาณ 125 กรัม/ตัว ซึ่งผลผลิตรที่ได้จะประมาณ 10 กก./บ่อ อัตรารอดตายประมาณ 80%
  3. การถ่ายเทน้ำ
    เมื่อตอนเริ่มเลี้ยงใหม่ ๆ ระดับความลึกน้ำในบ่อควรมีค่าประมาณ 30-40 ซม. เมื่อลูกปลาเจริญเติบโตขึ้นในเดือนแรกจึงเพิ่มระดับความสูงเป็นประมาณ 50 ซม. การถ่ายเทน้ำควรเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงผ่านไปประมาณ 1 เดือน โดยถ่ายน้ำประมาณ 20% ของน้ำในบ่อ 3 วัน/ครั้ง หรือถ้าน้ำในบ่อเริ่มเสียจะต้องถ่ายน้ำมากกว่าปกติ
  4. การป้องกันโรค
    การเกิดโรคของปลาดุกที่เลี้ยงมักจะเกิดจากปัญหาคุณภาพของน้ำในบ่อเลี้ยงไม่ดี ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุของการให้อาหารมากเกินไปจนอาหารเหลือเน่าเสีย เราสามารป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้โดยต้องหมั่นสังเกตว่าเมื่อปลาหยุดกินอาหารจะต้องหยุดให้อาหารทันที เพราะปลาดุกลูกผสมมีนิสัยชอบกินอาหารที่ให้ใหม่ โดยถึงแม้จะกินอิ่มแล้วถ้าให้อาหารใหม่อีก็จะคายหรือสำรอกอาหารเก่าทิ้ง แล้วกินอาหารใหม่อีก ซึ่งปริมาณอาหารที่ให้ไม่ควรเกิน 4-5% ของน้ำหนักตัวปลา
เลี้ยงปลาดุกในบ่อซีเมนต์
hsmi2.psu.ac.th

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน

การจัดการสถานที่เลี้ยง

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อดินจำเป็นต้องมีการเตรียมบ่อที่ดี มิฉะนั้นอาจะเกิดปัญหาก้นบ่อเน่าทำให้น้ำในบ่อเสีย และทำให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพปลาในที่สุด บ่อปลาดุกที่เลี้ยงมาหลาย ๆ ปี โดยไม่มีการดูแลบ่อจะพบปัญหาปลาเป็นโรคบ่อย ๆ ยากต่อการแก้ไข การเตรียมบ่อใหม่และบ่อเก่าที่เคยเลี้ยงปลามาก่อน มีขั้นตอนการเตรียมแตกต่างกันเล็กน้อยดังนี้

  • บ่อขุดใหม่
    ปกติแล้วดินจะมีสภาพเป็นกรดอย่างอ่อน ๆ หรืออาจจะมีสภาพเป็นกรดสูง ขึ้นอยู่กับลักษณะท้องที่ ให้โรยปูนขาวตาม พี-เอช (อย่างน้อย 30-50 กก.ต่อบ่อ 800 ตารางเมตร) โดยสาดปูนขาวให้ทั่วบ่อจากนั้นสูบน้ำเข้าบ่อจนได้ระดับน้ำ 30 เซนติเมตร ทิ้งไว้ประมาณ 7-10 วัน แล้วจึงวัดค่าพี-เอช ค่าที่เหมาะสมอยู่ระหว่าง 7-8.5 แล้วจึงปล่อยปลาลงเลี้ยง
  • บ่อเก่า
    เมื่อเลี้ยงปลาดุกผ่านไปรุ่นหนึ่งแล้ว ควรตากบ่อให้แห้งประมาณ 10-15 วัน พร้อมทั้งโรยปูนขาวให้ทั่วบ่อ ในอัตราส่วนปูนขาว 1 กก.ต่อพื้นที่ 10 ตารางเมตร เพื่อให้แสงแดดทำลายเชื้อโรคต่าง ๆ และให้จุลินทรีย์เน่าสลายทำให้อินทรีย์สารที่ตกค้างอยู่พื้นบ่อหมดไปด้วย เมื่อเลี้ยงปลาดุกได้ประมาณ 3-4 รุ่น ควรลอกเลนและทำคันบ่อใหม่ เนื่องจากบ่ออาจตื้นเขิน และขอบคันอาจจะเป็นรูเป็นโพรงมากทำให้บ่อเก็บกักน้ำไม่อยู่ และไม่สะดวกในการจัดปลาอีกด้วย ควรเก็บปลาเก่าออกให้หมดและกำจัดวัชพืชที่พื้นบ่อและรอบขอบบ่อ โดยห้ามใช้ยาฆ่าหญ้าฉีดเด็ดขาด เพราะจะทำให้มีสารเคมีตกค้างในดิน จะทำให้เป็นอันตรายได้ หลังจากนั้นก็ตากบ่อให้แห้ง และลงปูนขาวให้ทั่วบ่อ อัตรา 50 กก. ต่อบ่อขนาด 1 ไร่ จากนั้นให้ลงมูลสัตว์ เช่น ขี้ไก่หรือขี้นกกระทาให้ทั่วบ่อ ในปริมาณ 4-5 ถุงต่อไร่ (ขนาดถุงอาหารปลา) ก่อนสูบน้ำเข้าประมาณ 1-2 วัน หลังจากนั้นก็สูบน้ำเข้าประมาณ 60-70 ซม.

การเลี้ยงในบ่อดินนั้นมีหลักการเตรียมบ่อเลี้ยงปลาทั่ว ๆ ไปดังนี้

  • จะต้องตากพื้นบ่อให้แห้ง ปรับสภาพื้นบ่อให้สะอาด
  • ใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพของดิน โดยใส่ในอัตราประมาณ 60-100 กก./ไร่
  • ใส่ปุ๋ยคอกเพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติสำหรับลูกปลาในอัตรา 40-80 กก./ไร่
  • สูบน้ำเข้าบ่อ โดยกรองไม่ให้ศัตรูของลูกปลาติดเข้ามากับน้ำ จนน้ำมีระดับน้ำลึก 30-40 ซม. หลังจากนั้นวันถัดไปจึงปล่อยปลาลงบ่อเลี้ยง

ขั้นตอนการเลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน

  1. อัตราการปล่อยปลาดุก
    ลูกปลาขนาด 2-3 ซม. ควรปล่อยในอัตราประมาณ 40-100 ตัว/ตรม. ซึ่งขึ้นอยู่กับกรรมวิธีในการเลี้ยง คือ ชนิดของอาหาร ขนาดของบ่อ และระบบการเปลี่ยนถ่ายน้ำซึ่งปกติทั่ว ๆ ไป อัตราปล่อยเลี้ยงประมาณ 50 ตัว/ตรม. และเพื่อป้องกันโรคซึ่งอาจจะติดมากับลูกปลา ใช้น้ำยาฟอร์มาลินใส่ในบ่อเลี้ยง อัตราความเข้มข้นประมาณ 30 ส่วนในล้าน (3 ลิตร/น้ำ 100 ตัน) ในวันที่ปล่อยลูกปลาไม่จำเป็นต้องให้อาหารควรเริ่มให้ในวันถัดไป
  2. การให้อาหาร
    เมื่อปล่อยลูกปลาดุกลงในบ่อดินแล้ว อาหารที่ให้ในช่วงที่ลูกปลาดุกมีขนาดเล็ก (2-3 ซม.) ควรให้อาหารผสมคลุกน้ำปั้นเป็นก้อนให้ลูกปลากิน โดยให้กินวันละ 2 ครั้ง หว่านให้กินทั่วบ่อ โดยเฉพาะในบริเวณขอบบ่อ เมื่อลูกปลามีขนาดโตขึ้นความยาวประมาณ 5-7 ซม. สามารถฝึกให้กินอาหารเม็ดได้ หลักจากนั้นเมื่อปลาโตขึ้นจนมีความยาว 15 เซนติเมตรขึ้นไป จะให้อาหารเม็ดเพียงอย่างเดียวหรืออาหารเสริมชนิดต่าง ๆ ได้ เช่น ปลาเป็ดผสมรำละเอียดอัตรา 9:1 หรือให้อาหารที่ลดต้นทุน เช่น อาหารผสมบดจากส่วนผสมต่าง ๆ เช่น กระดูกไก่ ไส้ไก่ เศษขนมปัง เศษเส้นหมี่ เศษเลือดหมู เลือดไก่ เศษเกี๊ยว หรือเศษอาหารเท่าที่สามารถหาได้ นำมบดรวมกันแล้วผสมให้ปลากิน แต่การให้อาหารประเภทนี้จะต้องระวังเรื่องคุณภาพของน้ำในบ่อ เมื่อเลี้ยงปลาได้ประมาณ 3-4 เดือนปลาจะมีขนาดประมาณ 200-400 กรัม/ตัว ซึ่งผลผลิตรที่ได้จะประมาณ 10-14 ตัน/ไร่ อัตรารอดตายประมาณ 40-70%
  3. การถ่ายเทน้ำ
    เมื่อตอนเริ่มเลี้ยงใหม่ ๆ ระดับความลึกน้ำในบ่อควรมีค่าประมาณ 30-40 ซม. เมื่อลูกปลาเจริญเติบโตขึ้นในเดือนแรกจึงเพิ่มระดับความสูงเป็นประมาณ 50-60 ซม. หลังจากย่างเข้าเดือนที่สองควรเพิ่มระดับให้สูงขึ้น 10 ซม./สัปดาห์ จนระดับน้ำในบ่อมีความลึก 1.20-1.50 เมตร การถ่ายเทน้ำควรเริ่มตั้งแต่การเลี้ยงผ่านไปประมาณ 1 เดือน โดยถ่ายน้ำประมาณ 20% ของน้ำในบ่อ 3 วัน/ครั้ง หรือถ้าน้ำในบ่อเริ่มเสียจะต้องถ่ายน้ำมากกว่าปกติ
  4. การป้องกันโรค
    การเกิดโรคของปลาดุกที่เลี้ยงมักจะเกิดจากปัญหาคุณภาพของน้ำในบ่อเลี้ยงไม่ดี ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุของการให้อาหารมากเกินไปจนอาหารเหลือเน่าเสีย เราสามารป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้โดยต้องหมั่นสังเกตว่าเมื่อปลาหยุดกินอาหารจะต้องหยุดให้อาหารทันที เพราะปลาดุกลูกผสมมีนิสัยชอบกินอาหารที่ให้ใหม่ โดยถึงแม้จะกินอิ่มแล้วถ้าให้อาหารใหม่อีก็จะคายหรือสำรอกอาหารเก่าทิ้ง แล้วกินอาหารใหม่อีก ซึ่งปริมาณอาหารที่ให้ไม่ควรเกิน 4-5% ของน้ำหนักตัวปลา ในรอบหนึ่งปีช่วงที่ต้องระมัดระวังปลาที่เลี้ยงเป็นพิเศษคือ ช่วงหน้าหนาว ปลาจะเป็นโรคมากที่สุด ซึ่งเกิดจากการสะสมของเสียที่พื้นบ่อมากเกินไป ผู้เลี้ยงจะสามารถลดความเสี่ยงจากโรคได้ก็ต้องควบคุมคุณภาพน้ำให้ดี ต้องไม่ให้น้ำสีเข้มเกินไป หากน้ำเข้มมากก็แก้ไขโดยใส่ปูนขาวลงไปก็จะช่วยลดปัญหานี้ได้
เลี้ยงปลาดุกในบ่อดิน
www.sentangsedtee.com

การเลี้ยงปลาดุกในกระชัง

การเลี้ยงปลาดุกในกระชังเป็นการใช้แหล่งน้ำให้เป็นประโยชนในการเพิ่มอาหารโปรตีนอีกทางหนึ่ง สามารถเลี้ยงเป็นงานอดิเรกหรือเลี้ยงเป็นอาชีพประจำครอบครัว เพราะจะช่วยเก็บเศษอาหารที่เหลือให้เกิดประโยชน์ และถ้าเลี้ยงในกระชังขนาดใหญ่หลาย ๆ กระชังแล้ว จะสามารถทำรายได้ให้กับผู้เลี้ยงได้มาก และสามารถยึดเป็นอาชีพได้ ข้อควรคำนึงในการเลี้ยงปลาดุกในกระชังมีดังนี้

  1. คุณภาพของน้ำต้องดี
  2. เป็นแหล่งที่มีกระแสน้ำไหลผ่านสะดวก
  3. การคมนาคมสะดวก
  4. ในบริเวณที่ใช้เลี้ยงปลาในกระชังควรปราศจากศัตรูธรรมชาติและโจรผู้ร้าย
  5. ฤดูการที่เหมาะสม
  6. ขนาดของกระชังพอเหมาะประมาณ กว้าง 1 ½ เมตร ยาว 2 เมตร ลึก 1.3 เมตร
เลี้ยงปลาดุกในกระชัง

การเลี้ยงปลาดุกในบ่อดินพลาสติก (บ่อตื้น)

การเลือกสถานที่สร้างบ่อควรพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

  • บ่อควรอยู่ใกล้บ้าน หรือที่ที่สามารถดูแลได้สะดวก
  • ควรอยู่ในที่ร่ม หรือมีหลังคาเพราะปลาดุกเป็นปลาที่ไม่ชอบแสงแดดจัด และหลังคาจะช่วยป้องกันเศษใบไม้ร่วงลงสู่บ่อปลา
  • มีแหล่งน้ำสำหรับการเปลี่ยนถ่ายน้ำได้สะดวกพอสมควร

ขั้นตอนการเลี้ยงปลาดุกในบ่อดินพลาสติก (บ่อตื้น) มีดังนี้

  • การสร้างบ่อ ทำได้ 2 วิธีตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่
  • เตรียมบ่อเลี้ยงขนาด กว้าง 1.5 เมตร ยาว 4 เมตร ขุดดินออกเพื่อทำบ่อ ลึกประมาณ 50 เซนติเมตร
  • ทำการยกคันบ่อขึ้นสูงจากพื้นดินประมาณ 50-60 เซนติเมตร แทนการขุดลงไปในดิน โดยอาจจะก่อคันบ่อด้วยกระสอบทราย

หลังจากขุดดินออกตามวิธีที่ 1 ทำการปรับแต่งพื้นก้นบ่อให้เรียบสม่ำเสมอ โดยใช้ทรายปูรองพื้น เพื่อป้องกันการรั่วซึม และทำการปรับแต่งดินบริเวณข้างบ่อและขอบบ่อให้เรียบ โดยให้มีความลาดชันของขอบบ่อ 1:2 หลังจากปรับพื้นที่ก้นบ่อและขอบบ่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว นำพลาสติก PVC ขนาดกว้ง 3.5 เมตร ยาว 6 เมตร หนา 0.25 มิลลิเมตร ปูพื้นบ่อที่ขุดเตรียมไว้ เวลาปูพลาสติกต้องระมัดระวังอย่าให้พลาสติกขาดหรือมีรอยรั่ว เมื่อปูพลาสติกเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะเหลือพื้นที่บ่อเลี้ยงขนาดกว้างประมาณ 1.5 เมตร ยาว 4 เมตร เป็นพื้นที่ประมาณ 6 ตารางเมตร

  1. การเตรียมน้ำ สำหรับน้ำที่จะนำมาใส่บ่อเลี้ยงปลาสามารถใช้น้ำจากบ่อบาดาล น้ำบ่อ น้ำในแหล่งน้ำลำคลองได้ทันที หรือถ้าใช้น้ำประปา ควรพักน้ำไว้ในบ่อพลาสติกอย่างน้อย 3-5 วัน แล้วจึงปล่อยลูกปลาลงบ่อเลี้ยง การปล่อยปลาลงช่วยแรกปลายังมีขนาดเล็ก ให้เติมน้ำลงบ่อให้ระดับน้ำสูงประมาณ 10 เซนติเมตร แล้วค่อย ๆ ปรับเพิ่มระดับขึ้นเรื่อย ๆ ทุกๆ สัปดาห์ ประมาณ 5 เซนติเมตร จนมีระดับน้ำสูงสุด 30-50 เซนติเมตร และก่อนปล่อยลูกปลาลงมีข้อควรคำนึง คือ
  2. ลูกปลาดุกบิ๊กอุยที่จะนำมาเลี้ยงควรมีขนาด 1.5 นิ้วขึ้นไป
  3. ในช่วงฤดูหนาวไม่ควรนำปลาดุกบิ๊กอุยมาเลี้ยง เพราะปลาจะมีความต้านทานต่อโรคต่ำปลามักจะเป็นโรคและตายได้ง่าย
  4. ปล่อยลูกปลาในอัตรา 50-70 ตัวต่อตารางเมตร บ่อขนาด 6 ตารางเมตร ปล่อยลูกปลาจำนวน 300-400 ตัว และการปล่อยลูกปลาลงเลี้ยงจะต้องปรับสภาพอุณหภูมิของน้ำในถุงลูกปลา และน้ำในบ่อเลี้ยงให้เท่ากันก่อน
  5. การถ่ายเทน้ำ เมื่อน้ำเริ่มเสียและสังเกตว่าน้ำเริ่มมีกลิ่นเหม็น จึงเปลี่ยนถ่ายน้ำไม่ควรถ่ายน้ำเก่าออกทั้งหมด ควรเหลือน้ำเก่าไว้ 2 ใน 3 เพื่อให้ปลามีความคุ้นเคยกับน้ำเก่าอยู่บ้าง และอย่าทำให้ปลาตกใจ ปลาจะไม่กินอาหาร การถ่ายน้ำน้ำควรทำหลังจากให้อาหารไปแล้วไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง เพื่อไม่ให้ปลาคายอาหารออกมาหมด
เลี้ยงปลาดุกในบ่อดินพลาสติก
esan108.com

โรคของปลาดุก วิธีการป้องกัน

ในกรณีที่มีการป้องกันอย่างดีแล้วแต่ปลายังป่วยเป็นโรค ซึ่งมักจะแสดงอาการให้เห็น โดยแบ่งอาหารของโรคเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ดังนี้

  1. การติดเชื้อจากแบคทีเรีย จะมีการตกเลือด มีแผลตามลำตัว และครีบกร่อน ตาขุ่น หนวดหงิก กกหูบวม ท้องบวม มีน้ำในช่องท้อง กินอาหารน้อยลงหรือไม่กินอาหาร ลอยตัว
  2. อาการจากปรสิตเข้าเกาะตัวปลา จะมีเมือกมาก มีแผลตามลำตัว ตกเลือด ครีบเปื่อย จุดสีขาวตามลำตัว สีตามลำตัวซีดหรือเข้มผิดปกติ เหงือกซีดว่ายน้ำทุรนทุราย ควงสว่านหรือไม่ตรงทิศทาง
  3. อาการจากอาหารมีคุณภาพไม่เหมาะสม คือ ขาดวิตามินบี กะโหลกร้าว บริเวณใต้คางจะมีการตกเลือด ตัวคด กินอาหารน้อยลง ถ้าขาดวิตามินบีปลาจะว่ายน้ำตัวเกร็งและชักกระตุก
  4. อาการจากคุณภาพน้ำในบ่อไม่ดี ปลาจะว่ายน้ำขึ้นลงเร็วกว่าปกติ ครีบกร่อนเปื่อย หงวดหงิก เหงือกซีดและบวม ลำตัวซีด ไม่กินอาหาร ท้องบวม มีแผลตามตัว

วิธีการป้องกัน

  1. ควรเตรียมบ่อและน้ำตามวิธีการที่เหมาะสมก่อนปล่อยลูกปลา
  2. ซื้อพันธุ์ปลาจากแหล่งที่เชื่อถือได้ว่าแข็งแรงและปราศจากโรค
  3. หมั่นตรวจอาหารของปลาอย่างสม่ำเสมอ ถ้าเห็นผิดปกติต้องรีบหาสาเหตุและแก้ไขโดยเร็ว
  4. หลังจากปล่อยปลาลงเลี้ยงแล้ว 3-4 วัน ควรสาดน้ำยาฟอร์มาลิน 2-3 ลิตร/ปริมาตร น้ำ 100 ตัน และหากปลาที่เลี้ยงเกิดโรคพยาธิภายนอกให้แก้ไขโดยสาดน้ำยาฟอร์มาลินในอัตรา 4-5 ลิตร/ปริมาตรน้ำ 100 ตัน
  5. เปลี่ยนถ่ายน้ำจากระดับก้นบ่ออย่างสม่ำเสมอ
  6. อย่าให้อาหารจนเหลือ
โรคของปลาดุก

การตลาด

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.คณิต ชูคันหอม คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้กล่าวว่า ปลาดุก เป็นปลาเศรษฐกิจที่เป็นที่นิยมต่อเนื่องมาตลอด ทั้งในแง่ของปลาเนื้อและปลาแปรรูป ในปัจจุบันมีผู้ประกอบการมากขึ้น ทำให้ต้นทุนการเลี้ยงไม่สูงมากนัก และทำให้มีปลาเข้าตลาดได้อยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังได้ปลาที่ดี มีรสอร่อย ขนาดได้มาตรฐาน ทำให้ผู้บริโภคซื้อปลาที่ราคาไม่แพง แนวโน้มตลาดทิศทางของการเพาะเลี้ยงบิ๊กอุยจึงเป็นไปอย่างสวยงาม เมื่อเลี้ยงปลาดุกไปแล้วประมาณ 5 เดือน ก็ถึงเวลาจับปลาขาย ปลาตามท้องตลาดจะเรียกชื่อแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับขนาด ส่วนมากจะนิยมเรียกตามขนาดอยู่ 3 ประเภท คือ ปลาขนาด 3-5 ตัวต่อกิโลกรัม จะเรียกว่าปลาย่าง (เป็นขนาดปลาที่ลูกค้าต้องการมากที่สุด) ประหลาดขนาด 2 ตัวต่อกิโลกรัม จะเรียกว่าปลาโบ้ แต่ไม่เป็นที่นิยมมากเท่าไหร่ เพราะมีขนาดใหญ่เกินความต้องการ และขนาดครึ่งกิโลกรัมขึ้นไปจะเรียกปลาหั่น ซึ่งราคาปลาไม่มีผู้ใดกำหนด จะเป็นไปตามกลไกตลาด ขึ้นอยู่กับมีผลผลิตรในตลาดมากหรือน้อย ถ้าปลาในตลาดมีมากราคาก็จะต่ำ แต่ถ้าปลาในตลาดมีน้อยราคาก็จะสูง และที่สำคัญที่สุดคือความต้องการของลูกค้า ว่ามีมากหรือมีน้อยเพียงใดด้วย แต่ปัจจุบันมีผู้บริโภคปลาดุกเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

วงจรชีวิตปลาดุก

แหล่งอ้างอิง

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความนี้