เชอร์รี่ ปลูกไม่ยากอย่างที่คิด ราคาดีความต้องการสูง

เชอร์รี่ ภาษาอังกฤษ มีชื่อว่า Cherry อยู่ในตระกูล Rosaceae เป็นพืชตระกูลเดียวกับพลัม เป็นผลไม้ที่นิยมรับประทานสด คั้นเป็นน้ำผลไม้ หรือแปรรูปเป็นอาหารชนิดต่าง ๆ อย่างแยม หรือพายก็ได้

เชอร์รี่ ภาษาอังกฤษ
https://rositacorrer.com

รสชาติของเชอร์รี่นั้นขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ เชอร์รี่เป็นสำคัญมีทั้งที่ออกรสหวาน รสเปรี้ยวอมหวาน มีทั้งผลขนาดเล็ก และผลขนาดใหญ่ บางพันธุ์อาจจะให้สีแดงสดแวววาว แต่บางพันธุ์ก็จะเป็นสีแดงคล้ำเกือบม่วง ดังนั้นหากคุณเป็นผู้ที่มีความสนใจจะปลูกต้นเชอร์รี่ควรพิจารณาความแตกต่างของแต่ละพันธุ์ตามรายละเอียดดังนี้

  • พันธุ์พื้นเมือง หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าพันธุ์ไทย เป็นเชอร์รี่ที่มีผลขนาดเล็ก น้ำหนักผลเชอร์รี่เฉลี่ยไม่เกิน 2 กรัม นิยมปลูกทั้งเพื่อบริโภคและเพื่อความสวยงาม เพราะในยามที่เชอร์รี่ติดผลสุกสีแดงระเรื่อจะมีความสวยงามน่ามองมาก ขนาดต้นไม่สูงมากจึงใช้พื้นที่ในการปลูกไม่มาก ผลเชอร์รี่พันธุ์นี้มีรสค่อนข้างหวาน มี ชื่อภาษาอังกฤษ ว่า Barbados cherry
  • พันธุ์ฟลอริด้า สวีท (Florida sweet) เป็นเชอร์รี่ที่มีผลขนาดใหญ่เฉลี่ยมากกว่า 2 เซนติเมตร มีรสหวาน และให้ผลผลิตคราวละค่อนข้างมาก มีถิ่นกำเนิดสายพันธุ์จากรัฐฟลอริด้าประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมีการนำเข้าสายพันธุ์มาปลูกในประเทศไทยบ้างแล้ว
  • พันธุ์มานัว (Manoa) เป็นเชอร์รี่อีกพันธุ์หนึ่งที่มีการนำเข้าพันธุ์มาจากประเทศออสเตรเลีย จุดเด่นของเชอร์รี่สายพันธุ์นี้คือผลที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ ผลมีน้ำหนักเฉลี่ย 5.5 กรัม และมีรสหวานค่อนข้างมาก
  • พันธุ์สุวรรณ เป็นเชอร์รี่ที่ประเทศไทยปลูกมานานแล้ว จึงทนทานต่อสภาพดินฟ้าอากาศในประเทศไทยได้ดี ผลมีลักษณะพิเศษคือรูปทรงคล้ายผลแอปเปิ้ลขนาดเล็ก รสชาติหวานอมเปรี้ยว และมีขนาดผลไม่ใหญ่มากนัก
  • พันธุ์ญี่ปุ่น ถือเป็นอีกหนึ่ง สายพันธุ์ เชอร์รี่ ที่ได้รับความนิยมมากในประเทศไทย ด้วยน้ำหนักผลเฉลี่ยมากกว่า 6 กรัมจึงมีเนื้อให้รับประทานค่อนข้างมาก รสชาติออกหวานอมเปรี้ยว สีผลของเชอร์รี่เมื่อสุกจะเป็นสีแดงสด
  • พันธุ์สเปน เป็นเชอร์รี่พันธุ์ที่นำเข้ามาจากสเปน จุดเด่นของเชอร์รี่พันธุ์นี้คือผลที่มีขนาดใหญ่กว่าเชอร์รี่พันธุ์อื่น ๆ ค่อนข้างมาก เพราะมีขนาดผลได้ถึง 8 กรัม แต่ผลมีรสค่อนข้างเปรี้ยวกว่าเชอร์รี่พันธุ์อื่น ๆ
  • พันธุ์แคระ จากชื่อก็พอจะบ่งบอกได้ว่าเชอร์รี่พันธุ์นี้มีผลค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับเชอร์รี่พันธุ์อื่น ๆ โดยผลเชอร์รี่จะมีความกว้างเฉลี่ยเพียง 1 เซนติเมตรเท่านั้น น้ำหนักต่อลูกเฉลี่ยที่ 0.67 กรัม แต่ผลมีความหวานค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับเชอร์รี่พันธุ์อื่น ๆ
สายพันธุ์ เชอร์รี่
  • พันธุ์คลอง 4 เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับการพัฒนาในประเทศมาสักระยะเวลาหนึ่งแล้ว มีขนาดผลค่อนข้างใหญ่ น้ำหนักผลประมาณ 6 กรัม ผลมีสีแดงอมส้มและมีรสหวานอมเปรี้ยว

วิธีการปลูก

แต่เมื่อกล่าวถึงเชอร์รี่หลายคนก็มักจะคิดว่าด้วยสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยที่ค่อนข้างร้อนจะทำให้ไม่สามารถปลูกได้ หรือแม้จะปลูกก็ไม่สามารถให้ผลผลิตที่ดีได้ ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วการปลูกเชอร์รี่ในประเทศไทยนั้นมีมานานแล้ว และปลูกได้ดีด้วย โดย วิธีการปลูกต้นเชอรี่ นั้นมีรายละเอียดดังนี้ การปลูกเชอร์รี่สามารถทำได้ 2 วิธีคือเพาะเมล็ด และใช้กิ่งตอน ซึ่งวิธีเพาะด้วยกิ่งตอนได้รับความนิยมมากกว่าเพราะต้นไม้จะโตได้เร็ว และไม่ค่อยมีปัญหาการกลายพันธุ์ ซึ่งเทคนิคการเลือกกิ่งตอนที่ดีควรเริ่มตั้งแต่รากต้นไม้มีการเดินดีหรือไม่ กิ่งพันธุ์ไม่ควรมีขนาดเล็กเกินไปเพราะจะอ่อนแอ ตายง่าย และกิ่งพันธุ์ไม่ควรแก่หรือสูงเกินไปเพราะมีโอกาสจะแคระแกร็นได้ง่าย

ต้นเชอร์รี่

การเตรียมพื้นที่ปลูก

ในปัจจุบันพบว่าการปลูกเชอร์รี่ในกระถางหรือบ่อปูนซีเมนต์จะเป็น วิธีการปลูกต้นเชอรี่ ที่ให้ผลผลิตที่ดีกว่าการปลูกลงดินโดยตรง เพราะดูแลรักษาง่ายกว่าสามารถเติมสารบำรุงดินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า และหากต้องการเคลื่อนย้ายต้นเชอร์รี่ก็สามารถทำได้สะดวก โดยระยะห่างระหว่างกระถางหรือปูนซีเมนต์สำหรับปลูกต้นเชอร์รี่ควรเว้นระยะไม่น้อยกว่า 3 เมตรเพื่อไม่ให้กิ่งของต้นไม้เบียดกัน

วิธีการปลูกเชอร์รี่

การเตรียมดินปลูก

ดินที่ใช้ในการปลูกให้ใช้ดินดำผสมกับแกลบดำ และมูลสัตว์ในอัตราส่วน 1:2:1 เตรียมหลุมก่อนลงกล้าไม้ที่ความกว้างอย่างน้อย 60 เซนติเมตรและความลึกของหลุมสูง 40 เซนติเมตร เมื่อนำต้นกล้าลงไปปลูกแล้วให้ปิดปากหลุมด้วยดินที่ผสมแล้วกดให้แน่นพอสมควรแต่อย่ามากเกินไป รดน้ำให้ชุ่มแต่อย่าเปียกมากเกินไป

การดูแลรักษา

เมื่อปลูกต้นเชอร์รี่แล้วควรหมั่นเติมปุ๋ยเพื่อบำรุงต้นไม้ทุก ๆ 15 วัน เมื่อใกล้ช่วงฤดูกาลติดผลหรือประมาณปลายเดือนกันยายน ให้เปลี่ยนปุ๋ยเป็นสูตรเร่งดอกเร่งผลเพื่อให้ผลผลิตออกมาได้อย่างเต็มที่ และควรมีการตัดแต่งกิ่งเป็นระยะ ๆ เพื่อให้ต้นเป็นทรงพุ่มโปร่งแสงแดดสามารถส่องได้ทั่วถึง

สรรพคุณ(ประโยชน์)

การปลูกเชอร์รี่นั้นใช้ระยะเวลาเพียง 8 เดือนก็สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้แล้ว แต่จะได้ผลผลิตเต็มที่เมื่อเข้าสู่ปีที่ 4 และต้นเชอร์รี่ยังเป็นต้นที่ไม่ค่อยมีศัตรูพืชตามธรรมชาติจึงดูแลรักษาง่าย ทั้งยังมีเชอร์รี่ ประโยชน์และสรรพคุณ มากมายตามรายละเอียดดังนี้

เชอร์รี่ ประโยชน์
  1. ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง และยังยับยั้งการผลิตเมลานิน ทำให้ผิวดูกระจ่างขาวขึ้น
  2. ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของร่างกาย สามารถชะลอการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ ได้
  3. ช่วยลดการสร้างอนุมูลอิสระ จึงลดโอกาสการเกิดมะเร็งได้ เสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง
  4. สารไลโคปีนที่มีมากในผลเชอร์รี่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้
  5. สารแอนโทไซยานินในเชอร์รี่สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี จึงป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน และความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ
  6. วิตามินซีในเชอร์รี่ช่วยเสริมภูมิต้านทานลดโอกาสการติดเชื้อหวัด และบรรเทาอาการของโรคหวัด ป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน และเพิ่มอัตราการไหลเวียนของโลหิต
  7. การรับประทานเชอร์รี่เป็นประจำจะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้ดีด้วยสารแอนโทไซยานิน

ด้วยวิธีการปลูกที่ง่ายไม่ต้องดูแลมาก แต่ได้ผลผลิตและราคาที่ดี รวมถึง สรรพคุณ(ประโยชน์) จึงทำให้พืชชนิดนี้มีความน่าสนใจที่จะปลูกเพื่อเสริมสร้างรายได้เป็นอย่างมาก.

 

ที่มา

https://medthai.com

https://rositacorrer.com

https://blog.arda.or.th

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความนี้