กาบหอยแครง ภาษาอังกฤษ : Venus Flytrap
กาบหอยแครง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tradescantia spathacea Stearn, Rhoeo spathacea, Tradescantia discolor
วงศ์ : Commelinaceae
กาบหอยแครงหรือ DIONAEA MUSCI-PULA เป็นพืชกินแมลง ในกลุ่มเดียวกับต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง และไปป์ เป็นพืชกินแมลงที่พัฒนาส่วนปลายใบให้มีลักษณะกาบ 2 ฝาสมมาตรในแนวก้านใบ สามารถจับแมลงเหยื่อโดยการรับสัมผัสด้วยกระเดื่องขนขนาดเล็ก (tiny hairs) จำนวน 3 คู่บริเวณด้านในของกาบใบทั้ง 2 ข้าง แมลงเหยื่อจะถูกงับด้วยกาบทั้ง 2 ข้างภายในเวลาเสี้ยววินาที พร้อมกับแผงหนาม (cilia) บริเวณขอบกาบใบทำหน้าที่กรงป้องกันการหนี หากแมลงเหยื่อหนีไปได้กาบใบจะเปิดอีกครั้งภายในเวลา 12 ชั่งโมง
กาบหอยแครงพบในสภาพแวดล้อมที่มีไนโตเจนต่ำ เช่น หนองน้ำ หรือทุ่งหญ้าสะวันนาที่เปียกชื้น กาบหอยแครงมีต้นเตี้ย โตช้า ทนไฟได้ดีและการเผาไหม้จากไฟป่าเป็นระยะถือเป็นการช่วยกำจัดคู่แข่งของมัน กาบหอยแครงรอดได้เพราะขึ้นในดินทราบที่เปียกชื้นและถ่านหินเลน ถิ่นกำเนิดของกาบหอยแครงพบในรัฐนอร์ทแคโรไลนา และรัฐเซาท์แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา
ลักษณะของกาบหอยแครง
กาบ
มีขนาด 3.2 เซนติเมตร บางต้นที่มีอายุมากและอยู่ในสถานที่เหมาะสมก็อาจมีขนาดเกือบ 2.5 นิ้ว ใบแบ่งเป็นสองส่วน โดยกับดักพร้อมซี่ฟันปลาประมาณ 15-20 อัน ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมและปริมาณแสงแดดที่ได้รับ ต้นกาบหอยแครงจึงมีสีสันแตกต่างกันออกไป ขอบใกล้กับฟันจะมีแถบเล็กๆ ซึ่งเป็นส่วนผลิตน้ำหวานเพื่อดึงดูดแมลงให้เข้ามากิน ใต้ขอบลงไปจะมีขน 3-4 เส้น กระจายอยู่ภายในกาบแต่ละข้าง ขนพวกนี้จะตอบสนองต่อความรู้สึกเพื่อให้กาบงับแมลง การที่กาบจะงับเหยื่อจะต้องมีการสัมผัสขนเหล่านี้ตั้งแต่ 2 เส้นขึ้นไปภายใน 20 วินาที เมื่อขนเหล่านี้โก่งงอ สนามไฟฟ้าเกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่ของประจุไอออนแคลเซียมกระบวนการงับจะเสร็จภายใน 1/20 นาที หากสภาพแวดล้อม อุณหภูมิและความชื้น จะส่งผลให้การงับช้าลงมาก หากเหยื่อมีโปรตีนอยู่ จะไปกระตุ้นตัวรับโปรตีน จะมีการสร้างน้ำย่อยซึ่งมีเอนไซม์พิเศษออกมา กาบจะแคบลงและปิดลงในที่สุด ส่วนที่มีประโยชน์จะถูกย่อยและดูดซึมกลับไปโดยต่อมในกาบหลังจากย่อยแล้วกาบจะเปิดออกอีกครั้งการย่อยจะใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงจนถึง 2 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับขนาดของเหยื่อ หลังจากการจับเหยื่อ 7-10 ครั้ง หรือการย่อยอาหาร 2-3 ครั้ง ตัวกาบก็จะตายไป
ใบ
โครงสร้างของใบจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ปลายฤดูใบไม้ผลิ เริ่มฤดูร้อน ต้นจะผอม กาบจะยาว และชูขึ้นไปในอากาศ จากโคนใบจนถึงปลาย ความยาวประมาณ 7 นิ้ว บางครั้งต้นที่เพาะเลี้ยงอาจไม่สร้างใบแบบฤดูร้อน แม้จะมีแสงแดดมากก็ตาม
ดอก
จะออกในช่วงเดือนมีนาคมถึงกรกฎาคม ก้านดอกสูงประมาณ 12 นิ้ว มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ส่วนมากมีสีขาว และสีอื่นๆ เช่น สีแดง สีแสด ฝักจะบรรจุเมล็ดจำนวนมากไว้ภายใน
ราก
ต้นกาบหอยแครงจะมีเหง้าอยู่ใต้พื้นดิน ที่ความลึกประมาณ 4-6 นิ้ว
สายพันธุ์
กาบหอยแครงมีการจัดแบ่งสายพันธุ์ตามความแตกต่างตามลักษณะทางกายภาพอย่างง่ายๆ โดยแบ่งได้ 8 สายพันธุ์หลักดังนี้
1. กาบหอยแครงแบบธรรมดา
ต้นใหญ่มีขนาดประมาณ 3-8 เซนติเมตร เมื่อโดนแดดจัดต้นจะเป็นสีเขียวเหลือง ใบกาบจะเป็นสีชมพูถึงแดงเข้ม การโตจะเริ่มจากแบบก้านสั้นนอนราบกับพื้นแล้วก้านจะยาวขึ้นเรื่อยๆ จนก้านตั้งยาว เรียกว่า “ก้านแบบหน้าร้อน”
2. กาบหอยแครงแบบก้านสั้น
ต้นนอนอยู่กับพื้น และไม่สูง มักขึ้นตอนหน้าร้อนทั่วๆไป สีจะอ่อนกว่าแบบธรรมดา
3. กาบหอยแครงแบบก้านสีแดงต้นเขียว
ต้นจะเป็นกาบที่ทรงสวยไม่สูงและชูก้านขึ้นในหน้าร้อนและมีสีแดงจนถึงฝาด้านนอก และก้าน แล้วยังเป็นกาบที่ใหญ่ที่สุดในช่วงหน้าร้อนอีกด้วย
4. กาบหอยแครงแบบสีแดงทั้งหมด
เป็นกาบชนิดที่มีสีแดงเข้มทั้งต้น ถึงแม้จะปลูกในที่แดดไม่สว่างมาก ก็จะเป็นสีเขียวออกน้ำตาล แต่ถ้าโดนแดดมากๆ ก็จะเป็นสีแดงทั้งต้น แบบสีแดงน้ำตาล กาบสีแดงเริ่มมาจากพันธุ์ Royal Red ซึ่งเลี้ยงยากที่สุด หลังจากนั้นได้พัฒนาสายพันธุ์มาเรื่อยๆ จนมาเป็นต้นที่แดงมากที่สุด โตเร็ว และอึดที่สุดในบรรดาสีแดงทั้งหมดด้วย
5. กาบหอยแครงแบบฟันลักษณะเหมือนเลื่อย
ฟันของกาบหอยแครงจะเป็นเหมือนเลื่อยและจะเริ่มโตจากการฟักตัวเป็น แบบทรงกาบกอราบไปกับพื้น แต่ต้นจริงๆคือ ก้านจะชูสูง เหมือนกาบในหน้าร้อน
6. กาบหอยแครงแบบก้านชูสูง
เมื่อกาบโตมาจะเป็นเหมือนฟันฉลาม แต่ฟันเป็นแบบพันธุ์ธรรมดา
7. กาบหอยแครงแบบกลายพันธุ์
จะมีหลายรูปแบบสายพันธุ์ยังไม่แน่นอน
8. กาบหอยแครงแบบจิ๋ว
มีใบกาบใหญ่ที่สุด 2 มิลลิเมตร เป็นกาบหอยแครงที่มีขนาดเล็กมาก
การเพาะพันธุ์
วัสดุปลูก ควรเลือกชนิดที่มีลักษณะโปร่ง สามารถระบายน้ำและเก็บความชื้นได้ดี เช่น กาบมะพร้าวสับ เพอร์ไลท์ สแฟกนัมมอส และควรเปลี่ยนวัสดุปลูกใหม่ ทุกๆ 1-2 ปี
แสงแดด ควรต่างแดดอย่างน้อยประมาณ 5 ชั่วโมงต่อวัน ตามลักษณะความต้องการแสงของแต่ละชนิด
น้ำ ต้องการน้ำสะอาดอย่างสม่ำเสมอ พยายามรดน้ำให้ชุ่มชื้น วันละ 1 ครั้ง หรือใช้จานรองหล่อน้ำที่ก้นกระถาง
ถึงแม้กาบหอยแครงจะเป็นพืชกินแมลงที่ทนแดด แต่ก็ควรคำนึงถึงความชื้นในอากาศ โดยความชื้นสัมพัทธ์อยู่ที่ 60% ถ้าแสงแดดจัดแต่อากาศแห้ง ก็จะแสดงอาการแห้งกรอบเป็นรอยไหม้ โดยให้รดน้ำเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 2 ครั้ง หรือใช้สปริงเกอร์พ่นรอบบริเวณที่ปลูก.
สรรพคุณและประโยชน์
มีตำรายาแผนโบราณระบุว่า ใช้ต้นต้มน้ำดื่ม แก้ไอ แก้ร้อนใน และแก้ฟกช้ำได้
ที่มา
https://www.trapblossom.com