กาบหอยแครง พืชกินแมลง สีสันสวยงาม

กาบหอยแครง ภาษาอังกฤษ : Venus Flytrap

กาบหอยแครง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Tradescantia spathacea Stearn, Rhoeo spathacea, Tradescantia discolor

วงศ์ : Commelinaceae

Dionaea muscipula
https://www.a-remuweb.com

กาบหอยแครงหรือ DIONAEA MUSCI-PULA เป็นพืชกินแมลง ในกลุ่มเดียวกับต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง และไปป์ เป็นพืชกินแมลงที่พัฒนาส่วนปลายใบให้มีลักษณะกาบ 2 ฝาสมมาตรในแนวก้านใบ สามารถจับแมลงเหยื่อโดยการรับสัมผัสด้วยกระเดื่องขนขนาดเล็ก (tiny hairs) จำนวน 3 คู่บริเวณด้านในของกาบใบทั้ง 2 ข้าง แมลงเหยื่อจะถูกงับด้วยกาบทั้ง 2 ข้างภายในเวลาเสี้ยววินาที พร้อมกับแผงหนาม (cilia) บริเวณขอบกาบใบทำหน้าที่กรงป้องกันการหนี หากแมลงเหยื่อหนีไปได้กาบใบจะเปิดอีกครั้งภายในเวลา 12 ชั่งโมง

กาบหอยแครงพบในสภาพแวดล้อมที่มีไนโตเจนต่ำ เช่น หนองน้ำ หรือทุ่งหญ้าสะวันนาที่เปียกชื้น กาบหอยแครงมีต้นเตี้ย โตช้า ทนไฟได้ดีและการเผาไหม้จากไฟป่าเป็นระยะถือเป็นการช่วยกำจัดคู่แข่งของมัน กาบหอยแครงรอดได้เพราะขึ้นในดินทราบที่เปียกชื้นและถ่านหินเลน ถิ่นกำเนิดของกาบหอยแครงพบในรัฐนอร์ทแคโรไลนา และรัฐเซาท์แคโรไลนา สหรัฐอเมริกา

ลักษณะของกาบหอยแครง

กลไกการกินแมลงของพืช

กาบ

มีขนาด 3.2 เซนติเมตร บางต้นที่มีอายุมากและอยู่ในสถานที่เหมาะสมก็อาจมีขนาดเกือบ 2.5 นิ้ว ใบแบ่งเป็นสองส่วน โดยกับดักพร้อมซี่ฟันปลาประมาณ 15-20 อัน ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมและปริมาณแสงแดดที่ได้รับ ต้นกาบหอยแครงจึงมีสีสันแตกต่างกันออกไป ขอบใกล้กับฟันจะมีแถบเล็กๆ ซึ่งเป็นส่วนผลิตน้ำหวานเพื่อดึงดูดแมลงให้เข้ามากิน ใต้ขอบลงไปจะมีขน 3-4 เส้น กระจายอยู่ภายในกาบแต่ละข้าง ขนพวกนี้จะตอบสนองต่อความรู้สึกเพื่อให้กาบงับแมลง การที่กาบจะงับเหยื่อจะต้องมีการสัมผัสขนเหล่านี้ตั้งแต่ 2 เส้นขึ้นไปภายใน 20 วินาที เมื่อขนเหล่านี้โก่งงอ สนามไฟฟ้าเกิดขึ้นจากการเคลื่อนที่ของประจุไอออนแคลเซียมกระบวนการงับจะเสร็จภายใน 1/20 นาที หากสภาพแวดล้อม อุณหภูมิและความชื้น จะส่งผลให้การงับช้าลงมาก หากเหยื่อมีโปรตีนอยู่ จะไปกระตุ้นตัวรับโปรตีน จะมีการสร้างน้ำย่อยซึ่งมีเอนไซม์พิเศษออกมา กาบจะแคบลงและปิดลงในที่สุด ส่วนที่มีประโยชน์จะถูกย่อยและดูดซึมกลับไปโดยต่อมในกาบหลังจากย่อยแล้วกาบจะเปิดออกอีกครั้งการย่อยจะใช้เวลาตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงจนถึง 2 สัปดาห์ขึ้นอยู่กับขนาดของเหยื่อ หลังจากการจับเหยื่อ 7-10 ครั้ง หรือการย่อยอาหาร 2-3 ครั้ง ตัวกาบก็จะตายไป

ใบ

โครงสร้างของใบจะเปลี่ยนไปตามฤดูกาล ปลายฤดูใบไม้ผลิ เริ่มฤดูร้อน ต้นจะผอม กาบจะยาว และชูขึ้นไปในอากาศ จากโคนใบจนถึงปลาย ความยาวประมาณ 7 นิ้ว บางครั้งต้นที่เพาะเลี้ยงอาจไม่สร้างใบแบบฤดูร้อน แม้จะมีแสงแดดมากก็ตาม

ดอก

จะออกในช่วงเดือนมีนาคมถึงกรกฎาคม ก้านดอกสูงประมาณ 12 นิ้ว มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว ส่วนมากมีสีขาว และสีอื่นๆ เช่น สีแดง สีแสด ฝักจะบรรจุเมล็ดจำนวนมากไว้ภายใน

ราก

ต้นกาบหอยแครงจะมีเหง้าอยู่ใต้พื้นดิน ที่ความลึกประมาณ 4-6 นิ้ว

เซลล์ กาบหอย แครง

สายพันธุ์

กาบหอยแครงมีการจัดแบ่งสายพันธุ์ตามความแตกต่างตามลักษณะทางกายภาพอย่างง่ายๆ โดยแบ่งได้ 8 สายพันธุ์หลักดังนี้

1. กาบหอยแครงแบบธรรมดา

ต้นใหญ่มีขนาดประมาณ 3-8 เซนติเมตร เมื่อโดนแดดจัดต้นจะเป็นสีเขียวเหลือง ใบกาบจะเป็นสีชมพูถึงแดงเข้ม การโตจะเริ่มจากแบบก้านสั้นนอนราบกับพื้นแล้วก้านจะยาวขึ้นเรื่อยๆ จนก้านตั้งยาว เรียกว่า “ก้านแบบหน้าร้อน”

2. กาบหอยแครงแบบก้านสั้น

ต้นนอนอยู่กับพื้น และไม่สูง มักขึ้นตอนหน้าร้อนทั่วๆไป สีจะอ่อนกว่าแบบธรรมดา

3. กาบหอยแครงแบบก้านสีแดงต้นเขียว

ต้นจะเป็นกาบที่ทรงสวยไม่สูงและชูก้านขึ้นในหน้าร้อนและมีสีแดงจนถึงฝาด้านนอก และก้าน แล้วยังเป็นกาบที่ใหญ่ที่สุดในช่วงหน้าร้อนอีกด้วย

4. กาบหอยแครงแบบสีแดงทั้งหมด

เป็นกาบชนิดที่มีสีแดงเข้มทั้งต้น ถึงแม้จะปลูกในที่แดดไม่สว่างมาก ก็จะเป็นสีเขียวออกน้ำตาล แต่ถ้าโดนแดดมากๆ ก็จะเป็นสีแดงทั้งต้น แบบสีแดงน้ำตาล กาบสีแดงเริ่มมาจากพันธุ์ Royal Red ซึ่งเลี้ยงยากที่สุด หลังจากนั้นได้พัฒนาสายพันธุ์มาเรื่อยๆ จนมาเป็นต้นที่แดงมากที่สุด โตเร็ว และอึดที่สุดในบรรดาสีแดงทั้งหมดด้วย

5. กาบหอยแครงแบบฟันลักษณะเหมือนเลื่อย

ฟันของกาบหอยแครงจะเป็นเหมือนเลื่อยและจะเริ่มโตจากการฟักตัวเป็น แบบทรงกาบกอราบไปกับพื้น แต่ต้นจริงๆคือ ก้านจะชูสูง เหมือนกาบในหน้าร้อน

6. กาบหอยแครงแบบก้านชูสูง

เมื่อกาบโตมาจะเป็นเหมือนฟันฉลาม แต่ฟันเป็นแบบพันธุ์ธรรมดา

7. กาบหอยแครงแบบกลายพันธุ์

จะมีหลายรูปแบบสายพันธุ์ยังไม่แน่นอน

8. กาบหอยแครงแบบจิ๋ว

มีใบกาบใหญ่ที่สุด 2  มิลลิเมตร เป็นกาบหอยแครงที่มีขนาดเล็กมาก

หยาดน้ำค้าง
https://www.matichon.co.th

การเพาะพันธุ์

วัสดุปลูก ควรเลือกชนิดที่มีลักษณะโปร่ง สามารถระบายน้ำและเก็บความชื้นได้ดี เช่น กาบมะพร้าวสับ เพอร์ไลท์ สแฟกนัมมอส และควรเปลี่ยนวัสดุปลูกใหม่ ทุกๆ 1-2 ปี

แสงแดด ควรต่างแดดอย่างน้อยประมาณ 5 ชั่วโมงต่อวัน ตามลักษณะความต้องการแสงของแต่ละชนิด

น้ำ ต้องการน้ำสะอาดอย่างสม่ำเสมอ พยายามรดน้ำให้ชุ่มชื้น วันละ 1 ครั้ง หรือใช้จานรองหล่อน้ำที่ก้นกระถาง

ถึงแม้กาบหอยแครงจะเป็นพืชกินแมลงที่ทนแดด แต่ก็ควรคำนึงถึงความชื้นในอากาศ โดยความชื้นสัมพัทธ์อยู่ที่ 60% ถ้าแสงแดดจัดแต่อากาศแห้ง ก็จะแสดงอาการแห้งกรอบเป็นรอยไหม้ โดยให้รดน้ำเพิ่มขึ้นเป็นวันละ 2 ครั้ง หรือใช้สปริงเกอร์พ่นรอบบริเวณที่ปลูก.

สรรพคุณและประโยชน์

มีตำรายาแผนโบราณระบุว่า ใช้ต้นต้มน้ำดื่ม แก้ไอ แก้ร้อนใน และแก้ฟกช้ำได้

ต้นหม้อข้าวหม้อแกงลิง
https://kaijeaw.com

ที่มา

http://clgc.agri.kps.ku.ac.th

https://www.trapblossom.com

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความนี้