ดาวกระจาย (Mexican Aster, Cosmos) จัดเป็นไม้ดอกไม้ประดับที่นิยมปลูกลงแปลงเพื่อใช้ในการแต่งบ้านและสวย ถือเป็นไม้ดอกที่ปลูกกันในหลาย ๆ บ้าน เนื่องจากมีดอกขนาดใหญ่ มีจำนวนมากและสีสันหลากหลาย ปลูกรวม ๆ กันแล้วช่วยให้พื้นที่บริเวณที่ปลูกสวยงามมากขึ้น เป็นทุ่งดาวกระจาย อีกทั้งข้อดีของการปลูกต้นนี้คืออายุดอกที่บานนานและบานเป็นชุดอย่างต่อเนื่องด้วย หลังปลูกได้ประมาณ 50 – 55 วัน ดอกดาวกระจาจะเริ่มบานและบานได้นานหลายวัน
จากนั้นก็จะร่วงและติดเมล็ด แต่จะทยอยออกดอกชุดใหม่เรื่อย 3-4 ชุด
ข้อมูลทั่วไปของดาวกระจาย
ชื่อสามัญ: Mexican Aster, Cosmos
ชื่อสามัญอื่น: Mexican Aster
ชื่อท้องถิ่น: ดาวกระจาย ดาวเรืองพม่า หญ้าแหลมนกไส้
ชื่อวิทยาศาสตร์: Cosmos bipinnatus Cav. (Cosmos มาจากภาษากรีกคำว่า Komos แปลว่า สวยงาม วงศ์ : Compositae (วงศ์เดียวกับดาวเรือง)
ความเป็นมาของดาวกระจาย
สำหรับดอกดาวกระจายที่หลายบ้านปลูกกันหลายคนคงมีความเข้าใจว่ามันมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทย เพราะเป็นดอกไม้ที่ดูเข้ากับสภาพอากาศของไทยได้อย่างดี แต่ความจริงแล้วดอกดาวกระจายมีถือกำเนิดและมีการแพร่กระจายในประเทศเขตร้อนอย่างเม็กซิโก รวมถึงในแถบกึ่งเขตร้อนของอเมริกาและเวสต์อินดีส นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ดอกไม้ชนิดเจริญเติบโตได้อย่างสวยงามในประเทศเขตร้อนอย่างไทย
ความเชื่อเกี่ยวกับการปลูกดาวกระจาย
ก่อนหน้านี้การปลูกดอกดาวกระจายดูเหมือนจะมุ่งเน้นไปที่การปลูกเพื่อตกแต่งโดยไม่ได้สนใจเรื่องของความเชื่อหรือความหมายของดอกไม้ชนิดนี้เท่าใดนัก แต่ในต่างประเทศจะให้ความสนใจกับดอกไม้ชนิดนี้และให้ความหมายเช่นเดียวกับคอสมอสที่ปลูกกันในหลายประเทศ โดยเฉพาะประเทศที่ให้ความสำคัญกับดอกไม้อย่างญี่ปุ่น การปลูกดาวกระจาย จึงมีความเชื่อตามญี่ปุ่นว่าจะพามาซึ่งความสงบสันติ ความตั้งใจ เป็นดอกไม้ตัวแทนแห่งความบริสุทธิ์ใจของหญิงสาวหรือเด็กสาวที่ไร้เดียงสา นอกจากนี้ตามความเชื่อไทยยังเป็นดอกไม้ที่เป็นสิริมงคลแก่คนเกิดวันอาทิตย์ด้วย
ดอกกระจายควรปลูกไว้บริเวณใด
ในส่วนของการปลูกดาวกระจาย หากใครที่ปลูกในกระถางอาจไม่ต้องคำนึงเรื่องพื้นที่มากนัก แต่หากใครต้องการปลูกลงแปลงควรหาพื้นที่กว้าง ๆ และกะระยะในการปลูกให้ดี ปลูกเว้นระยะห่างอย่างน้อยประมาณ 15-20 เซนติเมตรต่อหลุมปลูก เพราะเมื่อดอกบานจะบานพร้อมกันและมีจำนวนมาก ทำให้ภาพรวมแล้วสวนดอกดาวกระจายของเราออกมาดูสวยงาม ดอกจะบานมากในช่วงต้นฤดูฝนถึงปลายฤดูหนาว ก่อนลงแปลงปลูกอย่าลืมกำจัดวัชพืชด้วย
ลักษณะทั่วไปของดาวกระจาย
ในส่วนของลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของต้นดาวกระจายนี้หลาย ๆ คนอาจจะเคยเห็นผ่านตาแค่ส่วนของดอกดาวกระจายแต่ส่วนอื่น ๆ ไม่ค่อยได้สังเกต ทางเว็บไซต์ Wikipedia จึงได้อธิบายลักษณะของต้นดาวกระจายไว้ ดังต่อไปนี้
ลำต้น: ดาวกระจาย มีลำต้นเป็นทรงพุ่มเตี้ยและโปร่ง ลำต้นมีลักษณะตั้งตรง แตกกิ่งก้านตั้งแต่ระกับล่างของลำต้น สูงประมาณ 30-50 เซนติเมตร
ใบ: ใบเป็นใบเดี่ยว ใบเรียงตรงข้ามกันเป็นคู่ ๆ แผ่นใบและขอบใบเรียบ มีสีเขียวเข้ม แผ่นใบเว้าแว่งคล้ายนิ้วมือ 5-7 แฉก แต่ละแฉกมีรูปหอก
ดอก: ดาวกระจาย เป็นดอกสมบูรณ์เพศ ออกดอกบริเวณปลายกิ่ง มีก้านดอกยาว ขนาดดอกประมาณ 5-15 เซนติเมตร กลีบดอกมีหลายสีตามสายพันธุ์ อาทิ สีเหลือง สีแดงอมม่วง สีชมพูและขาว เป็นต้น กลีบดอกอาจมีชั้นเดียวหรือเรียงซ้อนเป็นชั้น แผ่นกลีบดอกบางและเรียบ ปลายกลีบหยักเป็นฟันเลื่อย ตรงกลางดอกเป็นเกสรตัวผู้ 5 อันและเกสรตัวเมีย 1 อัน ด้านล่างเป็นรังไข่ ทั้งนี้ดาวกระจายจะเริ่มออกดอกประมาณ 50-55 วัน หลังเมล็ดงอก โดยดอกจะบานเร็วในฤดูฝนและแล้ง ส่วนฤดูหนาวดอกจะบานช้ากว่าและให้ดอกได้ประมาณ 3-4 รุ่น หลังจากนั้น ต้นจะแก่และเหี่ยวแห้งตาย
เมล็ด: เมล็ดดาวกระจายมีลักษณะรียาว หัว และท้ายเรียวแหลม เปลือกหุ้มเมล็ดแข็ง สีน้ำตาลอมดำ
สายพันธุ์ดาวกระจายที่นิยมปลูก
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าดอกดาวกระจายที่เราเห็นปลูกกันทั่วไปในปัจจุบบันนี้ไม่ได้มีเพียงแค่สายพันธุ์เดียว แต่จริง ๆ แล้วมีมากกว่า 10 สายพันธุ์ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์จะมีความแตกต่างกันที่สีของดอก รูปแบบหรือจำนวนของกลีบดอก โดยวันนี้เราจะขอยกดอกดาวกระจายมาแค่ 2 สายพันธุ์หลัก ๆ ที่นิยมปลูกในไทยกันนั่นก็คือ
1. C. bipinnatus Cav.
สำหรับดอกดาวกระจายสายพันธุ์แรกมีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษอีกชื่อว่า Sensation Type โดยจะมีลักษณะเด่น คือ กลีบดอกเป็นแบบชั้นเดียว กลีบดอกมีหลายสี ยกเว้นโทนสีเปลวไฟ มีลำต้นสูงประมาณ 90 เซนติเมตร ใบมีลักษณะเรียวยาวและหยักลึก
2. C. sulphureus Cav.
สายพันธุ์นี้มีอีกชื่อในภาษาอังกฤษ คือ Klondyke Type มีลักษณะเด่น คือ กลีบดอกเป็นแบบชั้นเดียวและกึ่งซ้อนหรือซ้อนหลายชั้น กลีบดอกมีเฉพาะโทนสีเปลวไฟ มีลำต้นสูงประมาณ 30-60 เซนติเมตร เตี้ยกว่าสายพันธุ์แรก ใบมีลักษณะใหญ่และหยักตื้น
การปลูกและดูแลดอกดาวกระจาย
ดาวกระจาย ถือเป็นไม้ดอกที่ไม่ได้มีขั้นตอนการปลูกหรือการดูแลต่าง ๆ ที่ยากมากนัก ด้วยความเป็นไม้ดอกที่เกิดและเจริญเติบโตได้ดีในเขตร้อน ดังนั้น จึงค่อนข้างทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดี อีกทั้งไม่ต้องใช้การดูแลอย่างเคร่งครัดก็อยู่รอดได้ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวเรามาดูกันว่าการจะปลูกดาวกระจายให้สวยงามต้องใช้การดูแลจัดการในส่วนใดบ้าง
แสงแดด
ต้องบอกก่อนเลยว่าเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้ดอกดาวกระจายออกมาสีสันสดใสปัจจัยหนึ่งก็คือเรื่องของแสงแดด เพราะด้วยความที่ไม้ชนิดนี้เป็นไม้ที่ชอบแสงแดด ดังนั้น พื้นที่ที่จะเลือกปลูกก็ควรเป็นจุดที่มีแดดส่องตลอดทั้งวันหรือให้แดดส่องถึงต้นได้อย่างทั่วถึงนั่นเอง
น้ำ
การปลูกดาวกระจายส่วนมากนิยมปลูกในต้นฤดูฝนถึงปลายฤดูหนาว ซึ่งจะอาศัยน้ำฝนตามธรรมชาติ แต่หากเราปลูกในหน้าแล้งควรให้น้ำอย่างน้อย 2 วันต่อครั้ง รดช่วยเช้าและเย็นโดยเฉพาะในระยะ 7 วันแรกหลังเพาะกล้าและย้ายมาปลูกลงดิน
ดิน
ในส่วนของการเลือกดินปลูก จริง ๆ แล้วแทบไม่ต้องกังวลอะไรมากเพราะต้นดาวกระจายเป็นพืชที่โตเร็ว สามารถเติบโตแข่งกับวัชพืชได้ดีเลยทีเดียว ดังนั้น ดินที่ปลูกสามารถใช้ดินร่วนธรรมดาหรือดินร่วนปนทรายเพื่อการระบายน้ำที่ดี ควรกำจัดวัชพืชในขั้นตอนของการเตรียมแปลงให้หมดก่อนและหากมีวัชพืชอื่นที่โตเร็ว ก็ควรมั่นถอนทิ้งเป็นประจำ
ปุ๋ย
สำหรับคนที่ปลูกในลักษณะของแปลงปลูกที่ต้องการให้ต้นโตเสมอกัน ดอกมีสีสันสวยงามและทนทานต่อสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น แนะนำว่าในระยะ 14 – 20 วันหลังปลูกลงดินให้ใส่ปุ๋ยสูตร 16-8-8 ร่วมกับปุ๋ยคอก ส่วนในระยะ 35 – 40 วัน ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 8-16-24 เพื่อเสริมความแข็งแรงของรากและต้น หลังจากนั้นก็ใช้ปุ๋ยธรรมดาเติมลงในดินบ้านเดือนละครั้งหรือสองเดือนครั้งก็ได้
การขยายพันธุ์ดอกดาวกระจาย
สำหรับคนที่เคยปลูกดาวกระจายแล้วและอยากรู้ว่าต้นนี้สามารถขยายพันธุ์ได้อย่างไร ด้วยความที่ต้นนี้เป็นไม้ดอกที่ไม่ได้มีลำต้นหรือกิ่งที่มีข้อสำหรับแตกรากเหมือนกับต้นไม้ชนิดอื่น ๆ ดังนั้น ก็ตัดวิธีตอนกิ่งหรือปักชำไปได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วจะใช้การเพาะเมล็ดเป็นหลัก จึงจะได้ต้นที่เจริญงอกงามมาอย่างแข็งแรง โดยจะมีขั้นตอนการเพาะเมล็ดง่าย ๆ ดังต่อไปนี้
1. เตรียมเมล็ดและพื้นที่ที่จะใช้ในการปลูกดาวกระจาย
2. การใช้เมล็ดขยายพันธุ์นิยมใช้การหว่านและการหยอดเมล็ด โดยแบบหว่านเมล็ดควรหว่านให้เมล็ดมีระยะห่างอย่างน้อยประมาณ 15-20 เซนติเมตร จากนั้นไถคราดตื้น ๆ กลบหน้าดิน
3. สำหรับคนที่ใช้การหยอดเมล็ดจะใช้วิธีขุดหลุม ลึกประมาณ 3-5 เซนติเมตร ก่อนหยอดเมล็ดหลุมละ 2-3 เมล็ด
4. การเตรียมหลุมควรให้มีระยะห่างของหลุมที่ 30 เซนติเมตร ระยะห่างแถวที่ 40 – 50 เซนติเมตร ทั้งนี้ อาจเพาะกล้าให้มีใบจริงก่อน 3-5 ใบ
5.หลังจากเริ่มมีกล้างอกขึ้นมาแล้วค่อยย้ายลงปลูกในหลุม หลุมละ 1-2 ต้นหรือปลูกลงประถางตามต้องการได้
ประโยชน์และสรรพคุณของดอกดาวกระจาย
1. ปลูกเป็นแปลงหรือปลูกให้เป็นทุ่งดอกดาวกระจาย เห็นได้บ่อย ๆ ตามสถานที่ท่องเที่ยว คาเฟ่หรือร้านอาหาร
2. ปลูกเป็นไม้กระถางตกแต่งแนวรั้วบ้านหรือระเบียงบ้าน
3. ใช้ปลูกรอบแปลงเกษตร ใช้สำหรับล่อแมลงผสมเกสร
4. ใช้สกัดสีสำหรับเป็นสีผสมอาหารหรือใช้ในการย้อมผ้า
5. ในด้านของสรรพคุณทางยาสมุนไพร สามารถนำดอกมาบดหรือขยี้ก่อนใช้ทารักษาพิษแมลงกัดต่อย ใช้บดทารักษาบาดแผลหรือต้มดื่มแก้อาการท้องเสียได้อย่างดี
แหล่งอ้างอิงข้อมูล
ดอกดาวกระจาย,คลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด
Cosmos (plant), Wikipedia
ดอกดาวกระจาย,คลังทรัพยากรการศึกษาแบบเปิด
Cosmos (plant), Wikipedia
Cosmos Flower Care – Tips For Growing Cosmos