ปลาช่อน (Snake head fish) เป็นปลาน้ำจืดที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของไทยมาก เนื่องจากเป็นปลาที่นิยมนำมาประกอบอาหารมากชนิดหนึ่ง เพราะเป็นปลาที่ให้เนื้อสีขาวน่ารับประทาน มีเนื้อมาก เนื้อนุ่มอร่อย สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิด ทำให้ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงเพื่อจำหน่ายในท้องตลาด ตกกิโลกรัมละกว่า 150-200 บาท และหากเป็นปลาช่อนนาจะมีราคาที่สูงกว่าเล็กน้อย โดยเกษตรกรมีการเพาะเลี้ยงเพื่อนำหน่ายทั้งในประเทศ และส่งออกต่างประเทศ ปลาช่อนได้รับความนิยมบริโภคอย่างแพร่หลายทั่วทุกภาคของประเทศไทย นอกจากนี้เกษตรกรยังหันมาเลี้ยงปลาช่อนกันมากขึ้น อีกทั้งยังมีการแปรรูปปลาช่อนเพื่อเพิ่มมูลค่าปลาช่อน อย่างเช่น ปลาช่อนเค็ม ปลาแดดเดียว อีกด้วย
ปลาช่อนเป็นปลาน้ำจืดที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งของประเทศไทยอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืดทั่วไป เช่น แม่น้ำ ลำคลอง หนอง บึง และทะเลสาบ ปลาช่อนเป็นปลาที่มีรสชาติดี ก้างน้อย สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิดจึงทำให้การบริโภคปลาช่อนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย แต่ปัจจุบันปริมาณปลาช่อนที่จับได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติมีจำนวนลดน้อยลง จึงทำให้การบริโภคปลาช่อนได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทำให้ปลาช่อนที่มีตามธรรมชาติไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด ปัจจุบันเกษตรกรหันมาสนใจเพาะพันธุ์และขยายพันธุ์มาเลี้ยงกันมากขึ้น เพื่อให้ทันต่อความต้องการของท้องตลาด
ข้อมูลทั่วไป
อุปนิสัยของปลาช่อน
โดยธรรมชาติปลาช่อนเป็นปลาประเภทกินเนื้อ กินสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในน้ำ รวมทั้งปลาขนาดเล็กและแมลงในน้ำชนิดต่าง ๆ เป็นอาหาร เมื่ออาหารขาดแคลน ปลาจะมีพฤติกรรมกินกันเอง โดยปลาช่อนตัวใหญ่จะกินปลาตัวเล็ก
รูปร่างลักษณะ
ปลาช่อนเป็นปลาที่มีเกล็ด มีส่วนหัวค่อนข้างโต รูปร่างทรงกระบอกยาว ลำตัวอ้วนกลมยาวเรียว ท่อนหางแบนข้าง หัวแบนลง เกล็ดมีขนาดใหญ่ ปากกว้างมาก มีฟันซี่เล็ก ๆ อยู่บนขากรรไกรทั้งสองข้าง ครีบทุกครีบไม่มีก้านครีบแข็ง ครีบหลังและครีบก้นยาวจนเกือบถึงโคนหาง ครีบหางเรียวปลายมน ด้านข้างลำตัวมีลายดำพาดเฉียง ลำตัวสีคล้ำอมมะกอกหรือน้ำตาลอ่อน มีลายเส้นทแยงสีคล้ำตลอดทั้งลำตัว 6-7 เส้น ด้านท้องสีจางตัดกับด้านบน ครีบสีคล้ำมีขอบสีเหลืองอ่อน ครีบท้องจาง มีขนาดลำตัวประมาณ 30-40 เซนติเมตร ใหญ่สุดได้ถึง 1 เมตร มีอวัยวะพิเศษช่วยในการหายใจ ปลาช่อนจึงสามารถเคลื่อนไหวบนบกหรือฝังตัวอยู่ในโคลนได้เป็นเวลานาน ๆ
แหล่งกำเนิดและการแพร่กระจาย
ปลาช่อนเป็นปลาน้ำจืด อาศัยอยู่ตามแม่น้ำ (ตอนที่กระแสน้ำไหลอ่อนๆ ) ลำคลอง หนองบึง บ่อและคู ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ในฤดูฝนปลาช่อนจะขึ้นไปหาอาหารและวางไข่ตามทุ่งนาเป็นอันมาก นอกจากนี้ยังพบว่าปลาช่อนสามารถอาศัยอยู่ในน้ำกร่อยได้ เช่น บริเวณคลองด้านซ้ายมือเขตอำเภอบางปะกง ซึ่งมีความเค็ม 0.2-.03 เปอร์เซ็นต์และมี pH ตั้งแต่ 4.0-9.0 ปลาช่อนก็อยู่ได้ นอกจากประเทศไทยแล้วในต่างประเทศที่พบว่ามีปลาช่อนคือ อินเดีย พม่า มลายู บอร์เนียวเหนือ เวียดนาม เขมร ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย
การเพาะพันธุ์ปลาช่อน
การเตรียมพ่อแม่พันธุ์
พ่อแม่พันธุ์ที่ใช้ต้องเป็นปลาที่เลี้ยงเองตั้งแต่เล็กด้วยอาหารเม็ด เพื่อให้ปลาเชื่องและคุ้นเคยต่อสภาพกักขัง โดยช่วงแรกอายุ 1-3 เดือน เลี้ยงในบ่อซีเมนต์เพื่อฝึกให้เชื่องและกินอาหารเม็ดได้ดี หลังจากนั้นนำไปเลี้ยงในบ่อดินเพื่อให้ได้ขนาดใหญ่ขึ้น อายุ 6-8 เดือนจึงนำกลับมาเลี้ยงต่อในบ่อซีเมนต์เพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์
การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์
เลี้ยงในบ่อซีเมนต์แบบรวมเพศอัตราการปล่อย 10 ตัวต่อตารางเมตร น้ำหนักรวม 100 กิโลกรัมต่อบ่อขนาด 50 ตารางเมตร ให้อาหารเม็ดลอยน้ำสำหรับปลาดุกเล็กโปรตีน 30 เปอร์เซ็นต์ วันละ 2 ครั้ง อัตรา 2% ของน้ำหนักตัว เปลี่ยนถ่ายน้ำทั้งบ่อพร้อมล้างทำความสะอาดเดือนละ 2 ครั้งไม่ให้อากาศ
การเพาะพันธุ์โดยใช้ฮอร์โมน
สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)ร่วมกับกรมประมง และบริษัทเบทาโกร จำกัด (มหาชน) ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ปลาช่อนสามารถวางไข่ได้เกือบตลอดทั้งปี สำหรับฤดูกาลผสมพันธุ์ วางไข่ จะเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม-ตุลาคม ช่วงที่แม่ปลามีความพร้อมที่สุดคือเดือน มิถุนายน-กรกฎาคม ในฤดูวางไข่จะสังเกตความแตกต่างระหว่างปลาเพศผู้กับเพศเมียอย่างเห็นได้ชัดคือ ปลาเพศเมียลักษณะท้องจะอูมเป่ง ช่องเพศขยายใหญ่ มีสีชมพูปนแดง ครีบท้องกว้างสั้น ส่วนปลาเพศผู้ ลำตัวมีสีเข้มใต้คางจะมีสีขาว ลำตัวยาวเรียวกว่าปลาเพศเมีย ตามธรรมชาติปลาช่อนจะสร้างรังวางไข่ในแหล่งน้ำนิ่ง ความลึกของน้ำประมาณ 30-100 เซนติเมตร โดยปลาตัวผู้จะเป็นผู้สร้างรังด้วยการกัดหญ้าหรือพรรณไม้น้ำและใช้หางโบกพัดตลอดเวลา เพื่อที่จะทำให้พื้นที่เป็นรูปวงกลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30-40 เซนติเมตร ปลาจะกัดหญ้าที่บริเวณกลางของรัง ส่วนพื้นดินใต้น้ำปลาก็จะมีแปลงจนเรียบ หลังจากที่ปลาช่อนได้ผสมพันธุ์วางไข่แล้วในช่วงนี้พ่อแม่ปลาก็ยังให้การดูแลลูกปลาวัยอ่อน เมื่อลูกปลามีขนาด 2-3 เซนติเมตร จึงแยกตัวออกไปหากินตามลำพังได้ ซึ่งระยะนี้เรียกว่า ลูกครอก หรือลูกชักครอก ลูกปลาขนาดดังกล่าวน้ำหนักเฉลี่ย 0.5 กรัม ปลา 1 กิโลกรัมจะมีลูกครอกประมาณ 2,000 ตัว ลูกครอกระยะนี้จะมีเกษตรกรผู้รวบรวมลูกปลาจากแหล่งน้ำธรรมชาติเป็นอาชีพ นำมาจำหน่ายให้แก่ผู้เลี้ยงปลาอีกต่อหนึ่งในราคากิโลกรัมละ 70-100 บาท ซึ่งรวบรวมได้มากในระหว่างเดือน มิถุนายน-ธันวาคม
- การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์ ปลาช่อนที่นำมาใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์ควรเป็นปลาที่มีรูปร่างลักษณะสมบูรณ์ ไม่บอบช้ำและมีน้ำหนักตั้งแต่ 800-1,000 กรัมขึ้นไป และควรอายุ 1 ปีขึ้นไป ลักษณะแม่พันธุ์และพ่อพันธุ์ปลาช่อนที่ดีซึ่งเหมาะสมจะนำมาใช้ในการเพาะพันธุ์คือ แม่พันธุ์ควรมีส่วนท้องอูมเล็กน้อย ลักษณะของติ่งเพศมีสีแดงหรือสีชมพูอมแดง ถ้าเอามือบีบเบา ๆ ที่ท้องจะมีไข่ไหลออกมา มีลักษณะสีเหลืองอ่อนใส ส่วนพ่อพันธุ์ติ่งเพศควรจะมีสีชมพูเรื่อๆ ปลาไม่ควรจะมีรูปร่างอ้วนหรือผอมมากเกินไปและเป็นปลาที่มีขนาดน้ำหนัก 800-1,000 กรัม การคัดเลือกต้องทำด้วยความรวดเร็วอย่าให้ปลาขับเมือกออกมา พ่อปลาควรมีอายุมากกว่าแม่ปลาคือ อายุ 2 ปีขึ้นไป
- การฉีดฮอร์โมน ใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์ (Suprefact) ร่วมกับยาเสริมฤทธิ์ (Motilium) ฉีดให้แม่ปลาครั้งเดียว อัตราฮอร์โมนสังเคราะห์ 20-30 ไมโครกรัม/กิโลกรัม และยาเสริมฤทธิ์ 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พ่อปลาฉีดพร้อมแม่ปลาด้วยความเข้มข้นฮอร์โมนสังเคราะห์ 10 ไมโครกรัม/กิโลกรัมและยาเสริมฤทธิ์ 10 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อข้างตัวปลาหรือโคนครีบหู ขณะฉีดปลาต้องอยู่ในน้ำตลอดเวลา
- การผสมพันธุ์ หลังฉีดฮอร์โมนแล้วปล่อยพ่แม่ปลาลงผสมในถังพลาสติกทรงสูง เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 30 เซนติเมตร น้ำลึก 60-70 เซนติเมตร ถังละ 1 คู่ ใส่เชือกฟางฉีดฝอยเพื่อเป็นรังไข่ ปิดปากถังด้วยตาข่ายพรางแสงสีดำทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง ปลาจะรัดและผสมพันธุ์วางไข่เองตามธรรมชาติไข่ลอยผิวหน้าน้ำบริเวณรังไข่ ขณะผสมพันธุ์พ่อแม่ปลาต้องการที่เงียบสงบ ถังเพาะควรอยู่ในที่เงียบสงบไม่พลุกพล่านหรือมีเสียงรบกวน
- การฟักไข่ ไข่ปลาช่อนมีลักษณะกลมเล็ก เป็นไข่ลอย มีไข่มันมาก ไข่ที่ดีมีสีเหลือง ใส ส่วนไข่เสียจะทึบหลังปลาวางไข่ ใช้กระชอนตาถี่ (โอล่อนแก้ว) ช้อนไข่มารวมในถังฟัก (ถังไฟเบอร์กลาส) ขนาดความจุ 2 ตันใส่น้ำสูง 65 เซนติเมตร เปิดน้ำให้ไหลผ่านตลอด (อัตรา 5 ลิตรต่อนาที) 1 ถังใส่ประมาณ 100,000 ฟอง หลังฟักไข่จะมีไข่บางส่วนเสีย ควรช้อนทิ้งเป็นระยะๆ การฟักไข่ระบบน้ำปิดและมีระบบกรองที่ดีจะมีประสิทธิภาพกว่าระบบเปิด
การเตรียมการเพื่อเลี้ยงปลาช่อน
การเลือกพื้นที่ขุดบ่อ
พื้นที่ควรเป็นดินเหนียวไม่ควรเลือกพื้นที่ที่เป็นดินทราย เนื่องจากดินเหนียวสามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ดีและคันกินไม่พังทลายง่าย โดยขุดบ่อที่มีด้านความยาวของบ่อตามแนวทิศทางลมพื่อให้ออกซิเจนละลายน้ำได้ดี การเลือกสถานที่คำนึงจากทำเลที่ตั้ง มีบ่อพักน้ำ ทางน้ำเข้า-น้ำออก น้ำที่ใช้เลี้ยงปลาต้องเป็นน้ำคุณภาพดี ปราศจากสารพิษ ยาฆ่าแมลง หรือของเสียจากโรงงานอุสาหกรรม และมีปริมาณน้ำเพียงพอตลอดการเลี้ยง เช่น น้ำบาดาล น้ำธรรมชาติ น้ำจากชลประทาน นอกจากนี้ควรมีการคมนาคมสะดวกเพื่อให้สามารถลำเลียงผลผลิตปลาส่งตลาดได้อย่างรวดเร็ว
รูปแบบบ่อและการสร้างบ่อ
บ่อควรมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ขนาดของบ่อควรมีขนาดตั้งแต่ 1 งานถึง 1 ไร่ ลึก 1-3 เมตร ลาดเอียงไปด้านทางน้ำออก พื้นบ่อต้องทำให้สะอาด ไม่มีวัชพืชและควรอยู่กลางแจ้ง
ข้อแนะนำ ควรสร้างร่มเงาสำหรับปลาหลบแดด ในกรณะที่อากาศร้อนหรือแดดจัด โดยปลูกต้นไม้และเว้นระยะห่างจากขอบบ่อ หรือพลางแสงด้วยตาข่ายพรางแสงบริเวณมุมใดมุมหนึ่งของบ่อ และพื้นบ่อควรมีความลาดเอียงประมาณ 15 องศา เพื่อความสะดวกในการรวบรวมผลผลิต หรือขุดบ่อโจนขนาด 2x2x1 เมตร(กว้าง x ยาว x ลึก) เพื่อใช้เป็นพื้นที่จับผลผลิต
การเตรียมบ่อเลี้ยง
การเตรียมบ่อโดยการสูบน้ำในบ่อออกจนพื้นแห้ง ควรจับปลาที่ตกค้างออกจากบ่อให้หมด ทั้งนี้อาจใช้โล่ติ๊นหรือกากชา เพื่อกำจัดปลาที่เหลือ มีการดูดเลนและฉีดเลนออก หรือใช้รถไถลงไปลอกหน้าดินเก่าแล้วหว่านปูนขาวในอัตรา 50-60 กิโกกรัมต่อไร่ เพื่อกำจัดศัตรูของปลาและเป็นการปรับสภาพความเป็นกรด-ด่าง ให้เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของจุลชีพในการย่อยสลายของเสียในบ่อ โดยเฉพาะบริเวณที่มีการสะสมของเลนหรือของเสียก้นบ่อ หลังจากตากบ่อไว้ 1 สัปดาห์ ให้เติมน้ำระดับครึ่งบ่อ (50 เปอร์เซ็นต์ของบ่อเลี้ยง) จากนั้นอีก 1 สัปดาห์จึงปล่อยปลา ในสัปดาห์ที่ 3 ของการเลี้ยงเติมน้ำในบ่อให้มีปริมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ และสัปดาห์ที่ 4 ของการเลี้ยงเติมน้ำให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ บ่อเลี้ยงปลาควรมีการป้องกันศัตรูปลา และป้องกันปลาช่อนหนีออกจากบ่อ โดยเฉพาะช่วงหน้าฝน โดยการล้อมมุ้งเขียวขนาดช่องตา 20 ช่องตาต่อเซนติเมตร รอบบ่อโดยฝังลึกลงไปในดิน 15 เซนติเมตร สูง 85 เซนติเมตร และขึงตาข่ายกันนกขนาดช่องตา 8 เซนติเมตร ความสูง 3 เมตรหรือขึงเอ็นบริเวณด้านบนของบ่อเลี้ยงปลา
การเตรียมน้ำสำหรับเลี้ยง
- ควรมีบ่อพักน้ำ เพื่อปรับสภาพน้ำให้มีคุณสมบัติเหมาะสมก่อนที่จะนำน้ำไปในบ่อเลี้ยงปลา
- ควรพักน้ำในบ่อเลี้ยงปลาอย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนปล่อยลูกพันธุ์ปลา กรณีใช้น้ำบาดาลควรเพิ่มออกซิเจนละลายน้ำ เช่น การพ่นน้ำให้เป็นฝอย เพื่อให้น้ำสัมผัสกับอากาศ
- คุณสมบัติของน้ำที่เหมาะสมคือ มีค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของน้ำประมาณ 6.5-8.0 และปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ำ (DO) ไม่น้อยกว่า 3-4 มิลลิกรัมต่อลิตร
การเลือกลูกพันธุ์
ควรใช้ลูกพันธุ์ปลาช่อนที่ได้จากการเพาะพันธุ์จากฟาร์ม ไม่ใช่ลูกพันธุ์ปลาที่จับจากแหล่งธรรมชาติ เพราะผู้เลี้ยงสามารถพัฒนาการเลี้ยงแบบมาตรฐานการปฏิบัติทางการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำที่ดี หรือ จีเอพี (GAP, Good Aquaculture Practice) ลูกพันธุ์ปลาช่อนต้องได้จากโรงเพาะพันธุ์ที่ได้มาตรฐาน เชื่อถือได้ มีการคัดพันธุ์ที่ดี ควรปล่อยลูกพันธุ์ปลาขนาด 2-3 นิ้วขึ้นไป ที่มีขนาดสม่ำเสมอกัน และเป็นลูกพันธุ์ปลาที่สมบูรณ์แข็งแรง สามารถกินอาหารสำเร็จรูปได้แล้ว
การลำเลียงลูกพันธุ์
ก่อนลำเลียงลูกพันธุ์ปลา ต้องงดอาหารก่อนทำการขนส่ง เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 2 วัน เพื่อให้อาหารที่อยู่ในระบบทางเดินอาหารให้ถูกขับถ่าย หรือใช้ให้หมดก่อน ช่วยในการลดของเสียที่เกิดขึ้นระหว่างการลำเลียงลูกพันธุ์ปลา อันเป็นสาเหตุให้คุณภาพน้ำไม่เหมาะสมและเป็นอันตรายต่อลูกพันธุ์ปลาในระหว่างขนส่งได้ สำหรับการลำเลียงลูกพันธุ์ปลามี 2 วิธี คือ
- ลำเลียงแบบภาชนะเปิด โดยลำเลียงพันธุ์ปลาขนาด 2-3 นิ้ว ใส่ลังขนาด 50x60x30 เซนติเมตร ความหนาแน่นจำนวน 1,500 ตัวต่อลัง
- ลำเลียงแบบภาชนะปิด โดยลำเลียงลูกพันธุ์ปลาขนาดเล็กบรรจุใส่ถุงอัดออกซิเจนตะหว่างการลำเลียงลูกพันธุ์ปลา ควรใส่เกลือ 1 กรัมต่อน้ำ 1 ลิตร และยาเหลือง 1 มิลลิกรัมต่อน้ำ 1 ลิตร โดยเกลือช่วยให้ปลาลดความเครียดและปรับตัวคืนสู่สภาวะปกติได้เร็วขึ้น ส่วนยาเหลืองช่วยในการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อราจากบาดแผลที่เกิดขึ้นในระหว่างการขนส่ง
การอนุบาลลูกปลาช่อน
การอนุบาลเบื้องต้น
ไข่ฟักเป็นตัวภายใน 30-36 ชั่วโมง ลูกปลาที่ฟักออกมาเป็นตัวใหม่ ๆ ลำตัวมีสีดำ มีถุงไข่แดงสีเหลืองใส ปลาจะลอยตัวในลักษณะหงายท้องขึ้นอยู่บริเวณผิวน้ำ ลอยอยู่นิ่ง ๆ ไม่ค่อยเคลื่อนไหวหลังจากนั้น 2-3 วัน จึงพลิกตัวกลับลงและว่ายไปมาตามปกติโดยว่ายรวมกันเป็นกลุ่มบริเวณผิวน้ำ ลูกปลาช่อนที่ฟักออกมาเป็นตัวใหม่ ๆ ใช้อาหารในถุงไข่แดงที่ติดมากับตัวและถุงไข่แดงยุบภายใน 3 วัน วันที่ 4 หลังจากถุงไข่แดงยุบให้ไรแดงปริมาณมากเกินพออัตราความหนาแน่น 52 ตัว/ลิตร ระยะเวลา 2-3 วัน แล้วนำลงอนุบาลต่อในบ่อดิน
การอนุบาลใบ่อดิน
เตรียมบ่อดินขนาด 800 ตารางเมตรใส่รำ ปลาป่น อัตราส่วน 2:1 หว่านพื้นก้นบ่อ ๆ ละ 5 กิโลกรัม เติมน้ำสูงประมาณ 60 เซนติเมตร หลังปล่อยปลาให้อาหารเป็นรำผสมปลาบ่นอัตรา 1:1 คลุกผสมกันแล้วผสมน้ำ 3 ลิตร สาดให้ทั่วบ่อวันละ 2 ครั้ง ๆ ละ 5 กิโลกรัม อนุบาล 20-25 วัน ได้ลูกปลาขนาด 3-5 เซนติเมตร อัตรารอด 40 เปอร์เซ็นต์ ถ้าให้อาหารไม่เพียงพออัตราการเจริญเติบโตของลูกปลาจะแตกต่างกัน และพฤติกรรมการกินกันเองทำให้อัตราการรอดตายต่ำ จึงต้องคัดขนาดลูกปลา การอนุบาลลูกปลาช่อนโดยทั่วไปจะมีอัตรารอดประมาณ 40-70 เปอร์เซ็นต์และควรเปลี่ยนน้ำทุกวันๆ ละ 50 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณน้ำ
การเลี้ยงปลาช่อน
อัตราการปล่อยลูกพันธุ์ปลา
สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด สำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง ได้ให้ความรู้ในเอกสาร การเลี้ยงปลาช่อน ไว้ว่า อัตราการปล่อยปลา บ่อดินขนาด 400 ตารางเมตร ความลึก 3 เมตร ปล่อยลูกปลาขนาด 2-3 เซนติเมตร 6,000-10,000 ตัว ( 6-10 ตัวต่อลูกบาศก์เมตร) ลูกปลาที่ปล่อยเลี้ยงควรคัดขนาดให้ใกล้เคียงกันก่อนปล่อยลงบ่อเลี้ยง เพื่อป้องกันการกินกันเองของลูกปลา
อาหารและการให้อาหาร
เมื่อปล่อยลูกปลาช่อนลงในบ่อดินแล้ว อาหารที่ให้ในช่วงลูกปลาช่อนมีขนาดเล็ก คือ ปลาเป็ดผสมรำในอัตราส่วน 4:1 หรืออัตราส่วนปลาเป็ด 40 เปอร์เซ็นต์ รำ 30 เปอร์เซ็นต์ หัวอาหาร 30 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณอาหารที่ให้ไม่ควรเกิน 4-5 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัวปลา วางอาหารไว้บนตะแกรงหรือภาชนะแบนลอยไว้ใต้ผิวน้ำ 2-3 เซนติเมตร ควรวางไว้หลาย ๆ จุด ให้อาหารวันละ 2 ครั้ง (เช้า-เย็น) ให้กินจนอิ่ม
การจัดการคุณภาพน้ำ
- ในเดือนแรกของการเลี้ยงยังคงไม่มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำ จากนั้น 21 วัน หลังปล่อยลูกปลาต้องเพิ่มปริมาณน้ำในบ่อให้ได้ 75 เปอร์เซ็นต์ของปริมาตรบ่อเลี้ยง และเมื่อลูกปลาอายุได้ 1 เดือนควรเติมน้ำในบ่อจนครบ 100 เปอร์เซ็นต์
- ในเดือนที่ 2 ของการเลี้ยงให้เปลี่ยนถ่ายน้ำ 5-10 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณน้ำในบ่อเลี้ยง เพื่อระบายของเสียและควรเติมน้ำให้เต็มบ่อเลี้ยง
- ในเดือนที่ 3 ของการเลี้ยงจนถึงการจับผลผลิต จะทำการดูดน้ำบริเวณก้นบ่อออกในปริมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณน้ำในบ่อเลี้ยง พร้อมเติมน้ำใหม่ให้เต็มบ่อทุกเดือน
- ในบ่อเลี้ยงควรเพิ่มปริมาณออกซิเจนในน้ำ โดยทำน้ำพุภายในบ่อเพื่อให้น้ำมีออกซิเจนหมุนเวียน ทำให้คุณภาพน้ำดีขึ้น หรือติดตั้งปั๊มลมภายในบ่อเพื่อเพิ่มออกซิเจนในน้ำ
ข้อควรระวัง ในกรณีที่เลี้ยงนานกว่า 3 เดือน ควรสังเกตการกินอาหาร หากคุณภาพน้ำไม่เหมาะสมปลาจะกินอาหารน้อยลง จึงควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมากขึ้น และหากกรณีฝนตก ฟ้าปิด ต้องเพิ่มปริมาณออกซิเจนในบ่อเลี้ยง
ข้อแนะนำ การเปลี่ยนถ่ายน้ำเป็นประจำ โดยใช้ระบบน้ำล้น จะช่วยให้ปลาเจริญเติบโตได้ดี มีผลผลิตเพิ่มขึ้น
โรคและการป้องกันรักษาโรค
โรคของปลาช่อนที่เลี้ยงมักจะเกิดจากปัญหาคุณภาพของน้ำในบ่อเลี้ยงไม่ดี ซึ่งสาเหตุเกิดจากการให้อาหารมากเกินไปจนอาหารเหลือเน่าเสีย เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดโรคได้ โดยการหมั่นสังเกตว่าเมื่อปลาหยุดกินอาหารจะต้องหยุดให้อาหารทันที หลังจากสูบน้ำออกจากบ่อเลี้ยง ควรฆ่าเชื้อในบ่อเลี้ยงปลาโดยใช้ปูนขาว 50-60 กิโลกรัมต่อไร่ โรยให้ทั่วบ่อ และตากบ่อให้แห้งก่อนปล่อยลงบ่อ เพื่อทำการเลี้ยงปลารุ่นใหม่ ในระหว่างการเลี้ยงปลาช่อนหากอากาศเปลี่ยนหรือฝนตก ให้ใส่เกลือ 3 เปอร์เซ็นต์และปูนขาวหว่านให้ทั่วบ่อ
โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Aeromonas hydrophila
- อาการ มีเลือดออกตามผิวหนัง ช่องปาก และกล้ามเนื้อ ซึ่งมักเกิดร่วมกับการเป็นแผล และอาจมีอาการอื่น ๆ เช่น ตาโปน เกล็ดตั้ง ท้องกาง ครีบเปื่อย
- การรักษา ใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มออกซี่เตตร้าชัยคลิน ปริมาณ 2-3 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม คลุกให้เข้ากับอาหาร โดยให้กินติดต่อกัน 3-5 วัน หรือตามฉลากที่ระบุไว้
โรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Flexibacter columnaris
- อาการ มีจุดเล็ก ๆ สีขาวที่ครีบบริเวณด้านท้าย ๆ ลำตัว อาจลุกลามึงขั้นมีการลอกหลุดของเนื้อเยื่อ เมื่อโรคลุกลามมากขึ้นจะพบแผลหลุมสีเทาจำนวนมาก และพบเนื้อตายบริเวณที่ปลายของซี่เหงือก
- การรักษา ใช้ยาปฏิชีวนะในกลุ่มออกซี่เตตร้าชัยคลิน ปริมาณ 2-3 กรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม คลุกให้เข้ากับอาหาร โดยให้กินติดต่อกัน 3-5 วันหรือตามฉลากที่ระบุไว้
โรคจุดขาว
- อาการ ปลาจะมีจุดขาวขุ่น ขนาดเท่ากับปลายเข็มหมุดเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วลำตัวและครีบ
- การรักษา ใช้ฟอร์มาลิน 25-50 ซีซีต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่ระยะเวลา 24 ชั่วโมง
โรคที่เกิดจากพยาธิภายนอก เห็บระฆัง
- อาการ ปลาเกิดการระคายเคืองเนื่องจากปรสิตเซลล์เดียวรูปร่างคล้ายระฆังเกาะอยู่บนผิวตัวและเหงือกปลา ทำให้เกิดเป็นแผลขนาดเล็กตามผิวตัวและเหงือก
- การรักษา ใช้ฟอร์มาลิน 25-50 ซีซีต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่ระยะเวลา 24 ชั่วโมง
โรคที่เกิดจากพยาธิภายนอก ปลิงใส
- อาการ ปลาว่ายน้ำทุรนทุราย ลอยตัวตามผิวน้ำ แยกฝูง กระพุ้งแก้มเปิดปิดเร็วกว่าปกติ อาจมีแผลขนาดเล็กทั่วลำตัว ถ้ารุนแรงจะพบปลาตายจำนวนมาก
- การรักษา ใช้ฟอร์มาลิน 25-50 ซีซีต่อน้ำ 1,000 ลิตร แช่ระยะเวลา 24 ชั่วโมง
ระยะเวลาในการเลี้ยง
ระยะเวลาในการเลี้ยงและการจับผลผลิต
- ระยะเวลาในการเลี้ยง ปลาช่อนที่มีระยะเวลาการเลี้ยง 3-4 เดือน ได้ปลาขนาดตัวละประมาณ 200-400 กรัม ส่วนปลาช่อนที่มีระยะเวลาการเลี้ยง 5 เดือนขึ้นไป ได้ปลาขนาดตัวละประมาณ 500-1,000 กรัม
- การจัดปลาช่อนเพื่อจำหน่ายมี 2 วิธีคือ
- จับแบบยกบ่อ คือ การจัดปลาแบบครั้งเดียวหมด
- จับแบบทยอยจับ โดยการใช้ยอขนาด 6×6 เมตร หรือใช้วิธีลากอวน โดยเกษตรกรจะต้องเตรียมการป้องกันไม่ให้ปลาที่เหลือบอบช้ำหรือตาย ด้วยการใส่เกลือ 1 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มออกซิเจนในบ่อเลี้ยง
ผลผลิตและขนาดที่จำหน่าย
ขนาดของผลผลิตปลาช่อนแบ่งได้เป็น 5 ประเภท คือ
- ปลาช่อนขนาดใหญ่ หมายถึง ปลาช่อนที่มีน้ำหนักมากกว่า 700 กรัมขึ้นไป
- ปลาช่อนขนาดกลาง หมายถึง ปลาช่อนที่มีน้ำหนัก 500-600 กรัมต่อตัว
- ปลาช่อนขนาดเล็ก หมายถึง ปลาช่อนที่มีน้ำหนักน้อยกว่า 500 กรัมต่อตัว
- ปลาจู๊ด หรือปลาแคระแกร็น หมายถึง ปลาช่อนที่มีน้ำหนักประมาณ 100 กรัมต่อตัว
- ปลาดาบ และปลาพิการ หมายถึง ปลาที่ผอมและโตช้า หรือมีความผิดปกติของร่างกาย
แนวโน้มการตลาด
ปลาช่อนเป็นปลาที่มีรสชาติดี อีกทั้งยังสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลายรูปแบบ จึงมีผู้นิยมบริโภคอย่างแพร่หลาย ทำให้แนวโน้มด้านการตลาดดี ปลาช่อนเป็นเศรษฐกิจขายได้ทุกขนาด ยิ่งน้ำหนักตัวละ 800 กรัม ถึง 1 กิโลกรัมจะได้ราคาดี กิโลกรัมละ 70-80 บาท ถ้าเผาปลาช่อนขายจะขายได้ตัวละ 90-100 บาท ปลาช่อนเล็กราคากิโลกรัมละ 50-60 บาท แต่ถ้าแปรรูปเป็นปลาเค็ม ปลาช่อนแดดเดียว ราคากิโลกรัมละ 120 บาม ความต้องการของตลาดมีมาก สามารถส่งผลผลิตและผลิตภัณฑ์ไปสู่ตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศได้
ปัญหาและอุปสรรคในการเลี้ยง
- เนื่องจากปลาช่อนเป็นปลากินเนื้อและกินจุ จำเป็นต้องมีปริมาณน้ำเพียงพอ เพื่อเปลี่ยนถ่ายน้ำในช่วงการเลี้ยง
- ต้นทุนอาหาร การเลี้ยงปลาส่วนใหญ่ หากใช้ปลาทะเลเป็นหลักซึ่งมีราคาสูง ก็จะมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตปลาช่อนสูงขึ้นตามไปด้วย
- การเลี้ยงปลาช่อนด้วยอาหารเม็ดสำเร็จรูปลอยน้ำยังเลี้ยงอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากอาหารที่มีราคาแพงต้นทุนสูง และลูกปลาที่ผลิตได้ยังมีจำนวนไม่เพียงพอ
- เนื่องจากการเลี้ยงปลาช่อนด้วยอาหารเม็ดสำเร็จรูปลอยน้ำ ยังมีผู้เลี้ยงจำนวนน้อยมาก ทำให้ไม่มีผู้ผลิตอาหารเม็ดสำเร็จรูปลอยน้ำสำหรับปลาช่อนโดยเฉพาะ ต้องให้อาหารเม็ดสำหรับปลาดุกหรือปลาชนิดอื่นที่มีในท้องตลาดแทน
อ้างอิง
- กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์,การเพาะเลี้ยงปลาช่อน.
- สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)ร่วมกับกรมประมง และบริษัทเบทาโกร จำกัด (มหาชน),เลี้ยงปลาช่อนให้ได้เงิน แบบเกษตรกรยุคใหม่.
- สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำจืด สำนักวิจัยและพัฒนาประมงน้ำจืด กรมประมง,การเลี้ยงปลาช่อน.
- โรงเรียนทหารสารบรรณ กรมสารบรรณทหารบก,การเลี้ยงปลาช่อน.