ยอ (Morinda citrifolia) ชื่อของผลไม้เขตร้อน ที่มนุษย์ได้ค้นพบและนำมารับประทานเป็นอาหารมานานกว่า 2000 ปี แล้ว เชื่อกันว่ามีถิ่นกำเนิดในแถบหมู่เกาะโพลีนีเซียตอนใต้ (Polynesia) และได้แพร่กระจายไปยังประเทศอื่น ๆ ในแถบอากาศเขตร้อน ยอนั้นเป็นพืชที่นักวิจัยค้นพบว่ามีสรรพคุณในการเสริมสร้างและบำรุงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้เป็นอย่างดี รวมถึงถูกนำมาใช้เพื่อเป็นยารักษาโรค สืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยโบราณในตำรายาของชาวเกาะโพลิเนเซียน ชาวจีน และชาวอินเดีย ส่วนในเมืองไทยเองก็ได้มีการนำลูกยอมาใช้ประโยชน์ต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะในการบริโภคเป็นส่วนประกอบของอาหาร หรือการใช้ในทางการแพทย์แผนไทย
ข้อมูลทั่วไป
ชื่ออังกฤษ : Morinda citrifolia
ชื่อสามัญ : Great Morinda หรือ Beach Mulbery หรือ Indian Mulbery
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Morinda citrifolia Linn.
พืชในวงศ์ : RUBIACEAE
ชื่ออื่นๆ : เช่น คนพื้นถิ่นชาวหมู่เกาะเรียก “โนนู” ภาษามลายู เรียก “เมอกาดู”
ความเชื่อเกี่ยวกับต้นยอ
ยอในความเชื่อของชาวเกาะ เฟร้นซ์ โพลินีเซีย (French Polynesia) ซึ่งอยู่ในแถบตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งเป็นถิ่นกำเนิดของพืชชนิดนี้ เชื่อว่ายอ เป็นพืชศักดิ์สิทธิ์ ที่บรรพบุรุษของพวกเขาได้เดินทางจากเกาะหนึ่งไปยังอีกเกาะหนึ่งโดยเรือแคนูและได้นำพืชศักดิ์สิทธิ์จากหมู่เกาะเดิมคือยอของพวกเขาติดตัวมาด้วย ส่วนความเชื่อของทางไทย นั้นยอถือว่าเป็นไม้มงคล ที่ตำราพรหมชาติชี้แนะว่าไว้ให้ปลูกที่บริเวณบ้านทิศอาคเนย์ หรือตะวันออกเฉียงใต้ เป็นเคล็ดว่า ผู้คนจะสรรเสริญเยินยอ มีคนยกยอปอปั้นในสิ่งที่ดีงาม ได้รับคำสรรเสริญอยู่เป็นนิจ เป็นไม้ที่จัดอยู่ในกลุ่มไม้มงคล หมู่บ้านชนบท จะมีปลูกไว้หลายๆ ต้น เป็นไม้ที่ชวนแบ่งปันกัน เพราะใบก็มาก ผลก็มีมาก แบ่งกันเอาไปกิน เพื่อนบ้านกัน ดูน่ารักดีที่สามัคคีเอื้ออาทร
ส่วนประกอบของต้นไม้
ลำต้น
ยอเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 2-6 เมตร ลำต้นมีขนาดเล็ก ขนาดโตเต็มที่ 5-10 เซนติเมตร ขึ้นกับอายุ และความอุดมสมบูรณ์ของดิน เปลือกลำต้นบางติดกับเนื้อไม้ ผิวเปลือกออกสีเหลืองนวลแกมขาว หยาบและสากเล็กน้อย แตกกิ่งน้อย 3-5 กิ่ง ทำให้แลดูไม่เป็นทรงพุ่ม
ใบ
ยอมีลักษณะใบเป็นใบเดี่ยว รูปทรงรี หรือขอบขนาน ใบกว้างประมาณ 10-20 ซม. ยาวประมาณ 15-30 ซม. ใบอ่อนสีเขียวสด เมื่ออายุใบมากจะมีสีเขียวเข้ม ก้านใบยาวประมาณ 1 ซม. โคนใบ และปลายใบมีลักษณะแหลม ขอบใบ และผิวใบเป็นคลื่น ผิวใบมันเกลี้ยงทั้งสองด้าน
ดอก
ดอกของต้นยอ เป็นดอกออกเป็นช่อกลมเดี่ยว ๆ สีขาว รูปทรงเหมือนหลอด ดอกแทงออกตามง่ามใบ ก้านช่อดอกยาวประมาณ 3-4 ซม. ไม่มีก้านดอกย่อย กลีบรองดอก และโคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน กลีบดอกมีสีขาว เป็นรูปท่อ ยาวประมาณ 8-12 มม.
ผล
ผลจัดเป็นชนิดผลรวม (multiple fruit) เช่นเดียวกับน้อยหน่า และขนุน เชื่อมติดกันเป็นผลใหญ่ดังที่เราเรียกผลหรือหมาก ขนาดผลกว้างประมาณ 3-5 ซม. ยาว 3-10 ซม. ผิวเรียบเป็นตุ่มพอง ผลอ่อนจะมีสีเขียวสด เมื่อแก่จะมีสีเหลืองอมเขียว และเมื่อสุกจะมีสีเหลือง และเปลี่ยนเป็นสีขาวจนเน่าตามอายุผล เมล็ดในผลมีจำนวนมาก เมล็ดมีลักษณะแบน ด้านในเมล็ดเป็นถุงอากาศทำให้ลอยน้ำได้ ผิวเมล็ดมีสีนํ้าตาลเข้ม
สายพันธุ์ของยอที่เป็นที่รู้จักแพร่หลายมีดังนี้
- สายพันธุ์แรกมีชื่อทาง วิทยาศาสตร์ว่า M. citrifolia var. citrifolia เป็นสายพันธุ์ที่มีผลหลายขนาด พบได้บริเวณหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก เช่น ฮาวาย ตาฮิติ เป็นต้น
- M. citrifolia var. bracteata หรือที่คนไทยส่วนใหญ่จะเรียก ยอบ้าน เป็นสายพันธุ์ที่มีผลเล็ก พบมากในทวีปเอเชีย เช่น ไทย พม่า ลาว จีนตอนใต้ เวียดนาม มาเลียเชีย อินโดนีเซีย อินเดีย และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
- สายพันธุ์สุดท้าย M. citrifolia cultivar potteri เป็นสายพันธุ์ที่ใบมีทั้งสีเขียว และสีขาว พบทั่วไปบริเวณหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
วิธีการปลูก และลักษณะสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมในการปลูก
การปลูกยอโดยทั่วไปนั้นจะนิยมปลูกด้วยการเพาะเมล็ด เพราะจะให้ผลที่ดีกว่าและอัตราการรอดจะสูงกว่าวิธีอื่น อย่างการปักชำ หรือการตอน โดยการเพาะเมล็ด ให้หาลูกแก่ๆ ที่ร่วงหล่นใต้ต้น บีบคั้นเอาเมล็ดออกมาเพาะให้งอก โดยใช้วิธีการบีบแยกเมล็ดออกจากผลสุก แล้วล้างด้วยน้ำ และกรองเมล็ดออก ผลที่ใช้ต้องเป็นผลสุกจัดที่ร่วงจากต้นที่มีสีขาว เนื้อผลอ่อนนิ่ม ซึ่งจะได้เมล็ดที่มีสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม เมล็ดที่ได้ต้องนำไปตากแห้ง 3-5 วันก่อน และนำมาเพาะในถุงเพาะชำให้มีต้นสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ก่อนนำลงปลูก ควรปลูกในหน้าฝน เพราะต้องอาศัยความชื้นสูงในช่วงการเพาะเมล็ด
วิธีการดูแลต้นยอ ให้ได้ผลผลิตที่ดี
ต้นยอเป็นพันธุ์ไม้ที่ดูแลง่ายไม่ค่อยมีแมลงศัตรูพืช หรือโรคพืชมาก และยังเป็นพืชที่ทนทานต่อสภาพดินเค็มและสภาวะแห้งแล้งอีกด้วย จึงทำให้มีการแพร่กระจายพันธุ์อย่างรวดเร็ว และนิยมปลูกกันอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นพืชเศษรฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่ง
น้ำ
ต้องการน้ำค่อยข้างมาก เพราะเป็นพืชอวบน้ำ ควรให้น้ำอย่างเพียงพอโดยเฉพาะในช่วงการออกผล
ดิน
เป็นไม้ที่ขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด และชื่นชอบดินที่ชุ่มชื้นพอสมควร เจริญเติบโตได้ดีมากในฤดูฝน
ปุ๋ย
บำรุงด้วยปุ๋ยอินทรีย์ เช่นปุ๋ยคอก ประมาณปีละ 2-3 หน
ประโยชน์หรือสรรพคุณอื่นๆ ของยอ
ต้นยอต้นหนึ่ง ให้ใบ ให้ผลมากมาย มีความคงทน ยืนยง อายุยืนยาวหลายสิบปี โดยที่ยังสวยสดงดงาม นับว่าเป็นไม้ที่มีทรงพุ่มสมบูรณ์ แข็งแรง สง่างาม เข้มขลังอลังการ ความหมายมงคล จึงเป็นที่นิยมปลูกมาก เพราะได้ทั้งความศรัทธาทางใจ ซึ่งมองตามลักษณะทรงต้นแล้ว ยอจัดได้ว่าเป็นไม้ที่มีทรวดทรง พุ่มสวยสง่างามมาก หนักแน่น ร่มเย็น รวมถึงได้อาศัยผล ในการใช้ประกอบอาหาร ยอนั้นได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในพืชที่ทรงคุณค่าทางโภชนาการสูงและมีสรรพคุณทางยามากมาย คนไทยรู้จักการนำลูกยอมาบริโภคเป็นอาหาร โดยจะนิยมนำผลยอ ทั้งดิบ ๆ กินผลยอดิบจิ้มเกลือ หรือปรุงแต่งเช่นปรุงกับผงกะหรี่ และใช้เมล็ดของยอคั่วรับประทานเป็นอาหารได้ ลูกยอสุก นำมาจิ้มกินกับเกลือหรือกะปิลูกห่ามใช้ทำส้มตำใบอ่อน นำมาลวกกินกับน้ำพริก ใช้ทำแกงจืด แกงอ่อม ผัดไฟแดง นำมาแกงส้ม ต้ม คั่ว หรือนำมาใช้รองกระทงห่อหมก รวมทั้งปลาช่อนหั่นชิ้นใหญ่ๆ หมู ไก่ ก็เอามาห่อหมก รองรับก้นห่อหมกด้วยผักหลายชนิด ที่นิยมกันมากคือ เอาใบยออ่อนรองก้นกระทงห่อหมก และในปัจจุบันมีการนำลูกยอไปแปรรูปโดยคั้นเป็น น้ำลูกยอ เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าของอาหารสำคัญเข่น วิตามินซี วิตามินเอ และธาตุโปแตสเซียมสูง นอกจากนั้นจะมีลักษณะเหมือนพืชผักผลไม้จำนวนมากเพราะมีสารแอนติออกซิแดนท์หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งถือว่าช่วยชะลอการแก่ของเซลล์ และต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดีอีกด้วย รวมถึงการใช้ส่วนต่างๆ ของยอทำยา มาเป็นเครื่องปรุงยาบำรุงธาตุ แก้ไข้ ฆ่าเหา แก้ปวดข้อ แก้ท้องร่วงในเด็ก แก้เหงือกปวดบวม ผลยอมีรสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณขับลม บำรุงธาตุ ทำให้เจริญอาหาร ขับโลหิตระดูสตรี ฟอกเลือด แก้คลื่นเหียนอาเจียน ขับผายลมในลำไส้ เป็นต้น
ราคาขายต้นพันธุ์ยอเพาะเมล็ดต่อต้นโดยประมาณ
ราคาจำหน่ายต้นยอที่เพาะเมล็ด ความสูงประมาณ 80-100 ซม. จะอยู่ที่ประมาณ 80-100 บาทต่อต้น