กฤษณา พันธุ์ไม้เศรษฐกิจอันทรงคุณค่า ที่เป็นที่พึงปรารถนาของมนุษย์มาช้านาน และยังถูกจัดอันดับให้เป็นไม้ที่มีราคาแพงที่สุดในโลก ถึงขนาดมีการตั้งชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่าไม้ของพระเจ้า (Wood of God) ด้วยประโยชน์ที่มากมายมหาศาล ทั้งในการใช้เป็น เครื่องป้องกันแมลง เห็บ เหา เป็นเครื่องยาสมุนไพรบรรเทาสารพัดโรค และที่เป็นที่โด่งดังและสร้างรายได้ให้กับผู้ปลูกอย่างมากมายมหาศาลจนได้กลายเป็นอุตสาหกรรมเครื่องหอมระดับโลก ก็คงจะหนีไม่พ้นในอุตสาหกรรมน้ำหอมที่มีการใช้ผลิตผลจากไม้ชนิดนี้เป็นตัวปรุงแต่งกลิ่น จนเกิดเป็นแบรนด์ดังที่มีราคาแพงที่สุดในโลกก็ว่าได้ กลิ่นหอมของไม้กฤษณานั้น ช่วยในการบำบัด และช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ซึ่งรู้จักกันดีในนาม “อโรมาเทอราปี-Aromatherapy”
ความเชื่อเกี่ยวกับต้นไม้กฤษณา
“ไม้กฤษณา” มีถิ่นกำเนิดและกระจายพันธุ์ในแถบเอเชีย อินเดีย ทิเบต ภูฐาน พม่า จีน มลายู เกาะสุมาตรา บอร์เนียว ฟิลิปปินส์ และไทย โดยเฉพาะในแถบประเทศเอเชียใต้ มีความเชื่อและมีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาทางพุทธศาสนาว่า เมื่อแรกประสูติ พระหัตถ์ขององค์ศาสดาข้างหนึ่งถือ “ดอกบัว” อีกข้างหนึ่งถือ “ไม้กฤษณา” ทำให้เชื่อกันมาแต่ครั้งโบราณกาลว่าไม้กฤษณา เป็นไม้มงคลป้องกันภูตผีปีศาจไม่ให้กล้ำกรายได้ ผู้เข้าไปหาของป่าหากไปนอนค้างแรมอยู่ใต้ต้นกฤษณา สิงสาราสัตว์จะไม่เข้ามารบกวนให้ได้รับอันตราย บางคนนำไม้กฤษณาปลูกไว้ในบ้านหรือในสวนเพื่อให้เป็นสิริมงคล ป้องกันผีสางนางไม้เข้ามาในบ้าน และทำเป็นธูปจุดบูชาพระและประกอบพิธีต่างๆ ทางศาสนา รวมถึงการใช้ไม้กฤษณาในพิธีกรรมทางศาสนาเพื่อความเป็นสิริมงคลต่างๆ เช่นการยกเสาเอก ในการสร้างบ้าน การใช้ “จตุชาติสุคนธ์” คือ ของหอมธรรมชาติ 4 อย่าง ได้แก่ กลิ่นของกฤษณา กระลำพัก จันทน์ และดอกไม้ เพื่อประพรมระหว่างการประกอบพิธี เป็นต้น
ส่วนประกอบของต้นไม้กฤษณา
ลำต้น
กฤษณา เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ชนิดไม่ผลัดใบ ความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 18-21 เมตร เส้นรอบวง 1.5-1.8 เมตร เรือนยอดเป็นพุ่มทรงเจดีย์หรือรูปกรวย ต้นตรง เปลือกสีเทาอมขาว
ใบ
เป็นแบบใบเดี่ยว เรียงตัวสลับ รูปไข่ ขอบขนาน ปลายเรียวแหลม ใบกว้าง 2.5-3.5 ซม. ยาว 7-9 ซม.ใบอ่อนสีเขียวอ่อน ใบแก่สีเขียวเข้ม ก่อนร่วงเป็นสีเหลือง
ดอก
สีเขียวอมเหลือง เป็นดอกสมบูรณ์เพศ คือ มีเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน ออกเป็นช่อเล็กๆ ตามง่ามใบที่ปลายกิ่ง ช่อละ 4-6 ดอก
ผล
รูปโล่หรือรูปตลับ เปลือกแข็ง ปลายผลมีติ่ง ผลแก่แตกอ้าเป็น 2 ซีก ด้านในมี 2 เมล็ด เมล็ดมีชีวิตเพียง 1-2 สัปดาห์ หลัง 4 สัปดาห์อัตราการงอกลดลงจนไม่มีการงอก
สายพันธุ์ ไม้กฤษณาที่พบในเมืองไทย
สำหรับในประเทศไทย สามารถพบไม้หอมกฤษณา ได้จำนวน 4 ชนิด หลักๆ คือ Aquilaria baillonil, A. crassna Pierre, A. malaccensis Lamk. และ A. subintegra Ding Hau ทั้ง 4 สายพันธุ์ที่ว่านี้ยังสามารถแบ่งคุณภาพของเนื้อไม้ (ตามระดับความหนักของน้ำมันที่ผสมในเซลล์ไม้) ออกเป็น 4 เกรดดังนี้
- เกรด1 ไม้ลูกแก่น มีน้ำมันสะสมอยู่เป็นจำนวนมาก มีราคาสูงที่สุด
- เกรด2 มีกลิ่นหอมและน้ำมันสะสมรองจากเกรด 1 สีจะจางออกทางน้ำตาล
- เกรด3 มีกลิ่นหอมและน้ำมันสะสมรองจากเกรด 2
- เกรด4 มีกลิ่นหอมและน้ำมันสะสมอยู่น้อย ใช้กลั่นน้ำมันหอมระเหย ชาวบ้านจะเรียกว่าไม้ปาก
วิธีการปลูก และสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมในการปลูก ไม้กฤษณา
เนื่องจากไม้กฤษณาเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ จึงควรเตรียมพื้นที่ปลูกโดยเว้นระยะปลูกที่ เหมาะสม คือ ระยะ 2×3 m พื้นที่ 1 ไร่ จะสามารถปลูกได้ประมาณ 260 ต้น ควรเริ่มปลูกในช่วงฤดูฝน เนื่องจากเป็นช่วงที่จะมีฝนตกตามธรรมชาติ โดยนำต้นพันธุ์กล้ากฤษณา ขนาดที่เหมาะสม คือสูงประมาณ 50 cm. อายุ 1 ปี ลำต้นตรง แข็งแรง ที่ได้จากการเพาะเมล็ด มาลง หลุมปลูก ระยะ 1 หน้าจอบ (20 – 25 cm.) และลึก ประมาณ 25 cm. นำหญ้า แห้งรอง ก้นหลุม ประมาณ 1 นิ้ว จากนั้นนำกล้าลงในหลุมและใช้ไม้ปักไว้ใกล้ โคนต้น มัดด้วยเชือกฟางเพื่อป้องกันลมพัด
วิธีการดูแลไม้กฤษณา
การปลูก
ไม้กฤษณา เป็นไม้ที่ปลูกง่ายโตเร็วและไม่ต้องการการดูแลเอาใจใส่ เหมือนไม้ผลไม้เศรษฐกิจอื่นๆ หลังจาก ลงกล้าไม้ไปราวๆ 2 เดือนแล้ว ทุกๆ 2 เดือน ควรหมั่น ตัดแต่งกิ่ง เพราะไม้กฤษณาจะแตกพุ่มหลายช่อ จึงควรแต่งให้ เหลือกิ่ง หลักเพียง กิ่งเดียว จะทำให้ไม้ กฤษณาโตเร็ว และทำการดูแลรักษาได้ง่าย สะดวก ต่อการดูแลในอนาคต ซึ่งโดยทั่วไปหลังจากทำการแต่งกิ่งไม้กฤษณาไปประมาณ 3 ปี จากนั้นสามารถปล่อยให้เจริญเติบโตตามธรรมชาติได้เอง
แสงแดด
ไม้กฤษณาต้องการแสงแดดจัด ตลอดวัน เพื่อการเจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์
น้ำ
ระยะ ที่ปลูก คือ หน้าฝน ระหว่าง เดือน มิถุนายน – ตุลาคม ถ้าฝน ตก สม่ำเสมอ ไม่ทิ้ง ช่วงนาน กว่า 2 อาทิตย์ ไม่ต้อง รดน้ำ เลยก็ ได้ให้ สังเกต ที่ใบ ของต้นไม้ ถ้าใบ เริ่มเหี่ยว เฉาเพราะ ขาดน้ำ อาจจะ ช่วยรดบ้าง หลังจาก หมด หน้าฝน แล้ว ควรรด น้ำอาทิตย์ 1 – 2 ครั้ง จนไม้ หอม อายุได้ 3 ปี หลังจาก 3 ปี ขึ้นไป รดน้ำ อาทิตย์ ละ 1 ครั้ง จนกว่า จะเริ่ม ทำแผล ต้นไม้
ดิน
สามารถเจริญเติบโตได้ในดินโดยทั่วไป สภาพดินต้องมีความชุ่มชื้น ไม่ควรเป็นดินทรายจัด ดินลูกรัง หินดาน หรือที่แห้งแล้งจนเกินไป
ปุ๋ย
ควร ใส่ปุ๋ย อย่างน้อย ปีละ 2 ครั้ง คือ ช่วงก่อน หน้าฝน และครั้ง ที่ 2 คือ หลังหน้า ฝนแล้ว ควรใส่ ปุ๋ยคอก หรือ ปุ๋ยอินทรี
ประโยชน์หรือสรรพคุณอื่นๆ จากไม้กฤษณา
ไม้กฤษณา ถือเป็นไม้ทางเศรษฐกิจที่มีความต้องการในตลาดทั่วโลกสูง แต่นับวันจะหาพบไม้ชนิดนี้ได้ยากนัก นอกจากประโยชน์ในทางความเชื่อ การใช้เป็นไม้มงคลในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาสำคัญๆ ต่างๆ แล้ว ไม้ชนิดนี้ ยังกลายเป็นสิ่งที่ต้องการอย่างมากในประเทศทางแถบตะวันออกกลางที่นับถือมุสลิม เนื่องจากสามารถนำไปผลิตเป็นน้ำหอม แป้งทาหน้า และเครื่องประทินผิวอื่นๆ อีกหลากหลายประเภท
เพราะชาวมุสลิมแถบตะวันออกกลางที่มีฐานะดี นิยมปรุงแต่งผิวกายด้วยน้ำหอมจากไม้กฤษณา เพื่อให้เป็นกลิ่นหอมจนกลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว น้ำหอมจากไม้กฤษณาจึงมีความสำคัญและทรงความหมายยิ่งสำหรับชาวมุสลิมทั้งโลก เป็นเครื่องบ่งบอกสถานะของผู้ได้ครอบครองเป็นอย่างดี ไม้กฤษณายังถูกนำไปใช้เป็นหัวเชื้อผสมน้ำหอมในประเทศทางแถบยุโรป เช่น ฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำหอมรายใหญ่ของโลก รวมถึงการใช้เนื้อไม้ นำไปแปรรูปทำพวกกล่องเพชร ลูกประคำ คันธนู และเครื่องใช้เครื่องเรือนที่ทำจากไม้อื่นๆ อีกด้วย
สำหรับในประเทศไทยแง่มุมการใช้ประโยชน์จากกฤษณา ส่วนใหญ่จะอยู่ในทางยา ซึ่งไม้กฤษณาเป็นเครื่องยาที่คนไทยรู้จักใช้มานานแล้วตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว และในตำรายาแผนโบราณของไทยล้วนแต่มีส่วนผสมของกฤษณาทั้งสิ้น เช่น ใช้บำบัดอาการปวดท้อง ท้องเสีย จุกเสียด แน่น หรือยาหอมที่เข้ากฤษณาก็มีอยู่หลายขนาน มีสรรพคุณ คือ ใช้แก้ลม วิงเวียนจุกเสียด หน้ามืดตาลาย คลื่นเหียน อ่อนเพลีย บำรุงหัวใจ ขับลมในกระเพาะลำไส้ บำบัดโรคปวดท้อง ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ เป็นต้น ส่วนตำราจีน กฤษณาจัดเป็นยาชั้นดี มีสรรพคุณมากมาย รวมถึงการนำกฤษณาไปผลิตยารักษาโรคกระเพาะที่ดีที่สุดชนิดหนึ่งอีกด้วย
ราคาไม้กฤษณาต่อต้นโดยประมาณ
กล้าพันธุ์ไม้กฤษณา ขนาด 1 ฟุต เพาะเมล็ด ราคาจำหน่ายจะอยู่ที่ประมาณ 80-100 บาท