มะเดื่อ พลังสุขภาพอันยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่ในผลเล็กๆ

มะเดื่อจัดได้ว่าเป็นพันธุ์ไม้เก่าแก่ที่มีการค้นพบในโลกมานานแสนนาน ถูกกล่าวไว้ในบันทึก และตำนานของชนชาติต่างๆ มากมาย เป็นไม้มงคลในหลายความเชื่อและศาสนา นอกจากนี้มะเดื่อพันธุ์ฝรั่ง หรือลูกฟิก (Fig) ยังถูกยกย่องให้เป็นราชาแห่งผลไม้สุขภาพ และเป็นผลไม้ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เนื่องจากมีรสชาติดีและอุดมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร เชื่อกันว่าการรับประทานมะเดื่อฝรั่งอาจมีส่วนช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้นานัปการ จึงทำให้ปัจจุบันความนิยมในการปลูกมะเดื่อฝรั่งเพื่อเป็นพืชเศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว

ต้น มะเดื่อ ลักษณะ

ความเชื่อเกี่ยวกับต้นมะเดื่อในหลักสากล และความเชื่อของคนไทย

ต้นมะเดื่อ จัดเป็นไม้มงคลที่ได้รับการสรรเสริญมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล เพราะเป็นหนึ่งในพันธุ์ไม้ที่มีบันทึกไว้ว่าพระพุทธเจ้าในอดีตได้ทรงตรัสรู้ที่ใต้ต้นมะเดื่อ นอกจากนี้ ในบันทึกตำนานของชาวฮินดูได้กล่าวไว้ว่ามะเดื่อเป็นไม้มงคลและเป็นที่นับถือของคนไทย พม่า และมอญมาแต่โบราณ โดยเฉพาะหลักฐานบันทึกทางประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญที่กล่าวถึงในสมัยกรุงศรีอยุธยาและกรุงรัตนโกสินทร์ว่า มีการนำไม้มะเดื่ออุทุมพรมาทำเป็นพระที่นั่ง กระบวยตักน้ำมันเจิมถวาย และหม้อน้ำที่กษัตริย์ใช้ถวายน้ำในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ไม้มะเดื่อจึงเป็นไม้มงคลทรงคุณค่าที่ถูกใช้ในงานมงคลต่างๆ มาโดยตลอด การปลูกใม้มะเดื่อให้เป็นไม้มงคลควรมีการกำหนดทิศปลูกทางทิศอุดร(ทิศเหนือ)

ส่วนประกอบของต้นมะเดื่อที่สำคัญ

ลักษณะของลำต้น

โดยทั่วไป เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ สูง 5-20 เมตร ลำต้นเกลี้ยงสีน้ำตาลหรือน้ำตาลปนเทา มีน้ำยางขาว กิ่งอ่อน สีเขียว กิ่งแก่มีสีน้ำตาลเกลี้ยง หรือมีขนปกคลุม

ใบ

ใบเป็นใบเดี่ยว เรียงสลับ รูปไข่หรือรูปใบหอก ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ

ดอก

ดอกออกเป็นช่อ เกิดภายในฐานรองดอกที่มีรูปร่างคล้ายผล ออกที่ลำต้นและกิ่ง แยกเพศอยู่ในช่อเดียวกัน

ผลมะเดื่อ

รูปกลมแป้นหรือรูปไข่ มีขน ออกเป็นกระจุกตามกิ่งและลำต้น ผลอ่อนจิ้มนํ้าพริกรับประทานได้ ภายในผลมีเกสรเล็ก ๆ เมื่อสุกจัดจะมีสีแดง เวลาบิออกมักจะมีแมลงหวี่ เข้าใจว่าแมลงหวี่จะเข้าไปฟักไข่ พอตัวแก่ ก็พากันเจาะออกมา

มะเดื่อไม้มหัศจรรย์ที่มีมากถึง 600 สายพันธุ์

มะเดื่อ มีถิ่นกำเนิดในประเทศศรีลังกา และในแถบประเทศจีนทางตอนใต้ เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สายพันธุ์มะเดื่อ ที่มีอยู่ในโลกที่ได้เคยมีการรวบรวมและบันทึกไว้นั้นมีอยู่เกือบ 600 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่บ้านเรารู้จักกันดี คือ มะเดื่ออุทุมพร หรือ มะเดื่อชุมพร เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานประจำจังหวัดชุมพร

มะเดื่ออุทุมพรมักพบขึ้นเองในธรรมชาติบริเวณป่าดิบชื้น โดยสังเกตที่ลำต้นจะเห็นลูกเต็มต้นห้อยย้อยระย้า แต่ไม่นิยมนำมารับประทานหรือทำอะไรอร่อย ๆ  เหมือนมะเดื่อฝรั่ง (ลูกฟิก) เพราะโดนแมลงหวี่จับจอง แต่ก็มีประโยชน์สำหรับ เป็นอาหารของสัตว์ต่าง ๆ เช่น นก หนู กระรอก ฯลฯ

ส่วนอีกสายพันธุ์ที่เป็นที่นิยมปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ ก็คือมะเดื่อฝรั่ง หรือ ที่เรียกกันติดปากว่า ลูกฟิก (Fig)  ได้รับการยกย่องให้เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มาก มีคุณค่าทางอาหารสูง มีรสชาติหวานกลมกล่อม ซึ่งเป็นไม้ผลอีกชนิดหนึ่งที่สร้างรายได้ให้คนไทยเป็นอย่างงาม เพราะมีความต้องการในตลาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ  เป็นผลไม้อีกชนิดหนึ่งที่เหมาะเป็นของฝาก จัดกระเช้า เพราะดูมีราคาแพง แถมยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ เช่น มีวิตามินสูงมากและมีรสหวานฉ่ำ มะเดื่อฝรั่งนั้นจะออกลูกทั้งปี สุกไล่เลี่ยกัน แต่เดือนที่ให้ผลมากก็เดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายน และอีกช่วงก็เดือนสิงหาคมถึงเดือนกันยายน นอกจากนั้น ก็จะทยอยให้ผลผลิตเฉลี่ยทั้งปี

มะเดื่อป่า สรรพคุณ

วิธีการปลูกมะเดื่อที่เหมาะสมเพื่อใช้ในการบริโภค

สำหรับสายพันธุ์ของต้นมะเดื่อที่ใช้ในการบริโภคนั้น จะเป็นสายพันธฺ์ในกลุ่มมะเดื่อฝรั่ง หรือลูกฟิก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสายพันธุ์ที่มีการนำเข้ามาจากต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นจากตุรกี หรือ ญี่ปุ่น แต่กลับพบว่า สามารถที่จะเจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทย ที่เป็นพื้นที่เขตร้อน เพราะโดยทั่วไปมะเดื่อฝรั่ง จะชอบแสงแดดจัด ชอบทั้งอากาศร้อนชื้นและร้อนแห้งอย่างภาคเหนือ ภาคอีสาน สามารถปลูกได้ทั้งนั้น แต่ปัญหาสำคัญที่มักพบในเมืองไทยก็คือ ในหน้าฝน น้ำฝนจะส่งผลให้ผลมะเดื่อมีรอยแตกแยกได้ง่าย ซึ่งควรทำการห่อผล หรือปลูกภายในโรงเรือนเฉพาะ เพื่อการให้น้ำที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว ซึ่งจะทำให้ผลมีตำหนิและเสียราคาจำหน่าย มะเดื่อฝรั่งปลูกได้ทุกที่ จะปลูกลงดินในแปลงเพาะปลูก หรือปลูกในบ้านที่เป็นทาวน์เฮ้าส์หรือหน้าตึกแถว โดยใส่กระถางก็ปลูกได้ผลผลิตไม่แตกต่างกัน

วิธีการดูแล มะเดื่อฝรั่ง หรือลูกฟิก ให้ได้ผลผลิตมาก

แสง

มะเดื่อเป็นพืขที่ชอบแสงแดดจัด สามารถทนกับสภาพอากาศที่ร้อนชื้นได้เป็นอย่างดี

น้ำ

มะเดื่อชอบน้ำปานกลาง ถึงมาก แต่ไม่ชอบน้ำที่ขังแฉะ ดังนั้นจึงควรให้น้ำวันละ1-2 ครั้งในช่วงที่ปลูกใหม่ และควรงดให้น้ำหากสภาพดินมีความชื้นสูง เพราะอาจทำให้รากเน่า จนต้นเกิดความเสียหายได้

ดิน

ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลอย่างมากที่จะทำให้มะเดื่อฝรั่งเติบโตไปได้ดี จะต้องให้ความสำคัญกับการเตรียมดินก่อนเป็นอันดับแรก หากดินมีความสมบูรณ์จะช่วยให้พื้นฐานของมะเดื่อตั้งต้นและไปต่อได้ดี

มะเดื่อฝรั่งสามารถปลูกในดินร่วน ดินร่วนปนทราย ดินเหนียวก็ปลูกได้ แต่อย่าขุดลึกลงไปมาก ให้มีความลึก ประมาณไม่เกิน 30 เซนติเมตร แต่แนะนำให้ปลูกในวงบ่อเพื่อกันน้ำขัง และใส่วัสดุปลูกเพิ่มที่โปร่ง เช่น ใบไม้ หรือ เปลือกถั่ว เพื่อการระบายน้ำ รวมถึงควรปรับค่าความเป็นกรดและด่างของดิน หรือ ค่า pHให้อยู่ระหว่าง 6.0 และ 6.5

ปุ๋ย

การให้ปุ๋ยสำหรับต้นมะเดื่อฝรั่งนั้นเหมือนไม้ผลทั่วไป เช่น ให้ปุ๋ย สูตร 16-16-16 บำรุงต้น และ สูตร 13-13-21 บำรุงผล และฉีดฮอร์โมนพืชตามช่วงการเจริญเติบโต

มะเดื่อมีกี่ชนิด

ประโยชน์หรือสรรพคุณอันน่าทึ่ง ของมะเดื่อ

มะเดื่อพันธุ์ไทยอย่างมะเดื่ออุทุมพร นั้นส่วนใหญ่จะมีบทบาทสำคัญในการปลูกประดับสถานที่เพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลให้กับผู้พักอาศัย รวมถึงการนำไม้มาไว้ใช้สำหรับอุปกรณ์เครื่องใช้ชั้นสูง ส่วนมะเดื่อสายพันธุ์นอกนั้น เป็นผลไม้ที่ได้รับการกล่าวขานทางด้านคุณค่าและสารอาหาร โดยจัดอยู่ใน 1 ใน 10อันดับของผลไม้เพื่อสุขภาพที่มีโภชนาการสูง ระดับโลก มีสรรพคุณ อาทิ ช่วยลดคอเลสเตอรอล มีสารต้านอนุมูลอิสระ และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน จะช่วยให้ปริมาณอินซูลินน้อยลง หยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด ป้องกันโรคไตที่เกิดจากคอเลสเตอรอลสูง หยุดการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด แถมยังนิยมนำมาใช้ทางสด หรือการนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ มากมายหลายอย่าง เช่น นำผลสดไปอบแห้ง น้ำมะเดื่อฝรั่ง ทำเป็นแยมมะเดื่อฝรั่ง นำไปแต่งขนมและอาหาร นำใบมาทำเป็นชาใบมะเดื่อฝรั่ง  เป็นต้น นอกจากนี้ ในผลมะเดื่อฝรั่งยังประกอบไปด้วยสารที่สามารถลดไตรกรีเซอไรด์ได้เป็นอย่างดี สามารถกินผลสุกได้ มีรสชาติหวานหอม ผลดิบสามารถลวกจิ้มน้ำพริกได้ ส่วนใบสามารถนำไปทำชามะเดื่อดื่มได้อีก เรียกว่าสรรพคุณเพียบเกินตัวจริงๆ

ราคาจำหน่ายของต้นมะเดื่อฝรั่งต่อต้นโดยประมาณ

มะเดื่อฝรั่ง สามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี เช่น การเพาะเมล็ด (บางสายพันธุ์) การตอนกิ่ง การปักชำ การติดตาและต่อกิ่ง ซึ่งสำหรับต้นพันธุ์ไว้ปลูก ที่เป็นกิ่งตอนพันธุ์ จะจำหน่ายตั้งแต่ราคา 180-300  บาท ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์

แหล่งอ้างอิง

: http://www.rspg.or.th/plants_data/herbs/herbs_07_9.htm

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความนี้