แก้วมุกดา ต้นไม้ที่หลายคนอาจไม่เคยรุ้จัก

ชื่อภาษาอังกฤษ

Gia, Lau binh, Perfume flower tree, Pua Keni Keni, Trai Tichlan

ชื่อวิทยาศาสตร์

Fagraea ceilanica Thunb

ความหมาย

แก้วมุกดา จัดเป็นไม้ยืนต้นหรือไม้พุ่มไม่ผลัดใบ มีความสูงของต้นประมาณ 3-15 เมตร และมักเกาะอยู่บนต้นไม้อื่นๆ มีรากอากาศคล้ายกับต้นไทร เปลือกต้นเป็นสีเทา เรียบและบาง ส่วนเปลือกชั้นในเป็นสีขาว

ความเชื่อ

แก้วมุกดา(ชื่อทางการค้า) หรือมีอีกชื่อว่า โกงกางเขา  มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Fagraea ceilanica Thunb. จัดอยู่ในวงศ์ดอกหรีดเขา (Gentianaceae) แก้วมุกดา หรือ โกงกางเขา นั้น มีชื่อเรียกอื่นๆ อีกหลายชื่อ ตามแต่ละภาษาของท้องถิ่นที่พบต้นแก้วมุกดาหรือโกงกางเขานั่นเอง เช่น ฝ่ามือผี คันโซ่ โกงกางเขา โพดา เทียนฤาษี นิ้วนางสวรรค์ ชบาเขา บัวนาค ติดตังนก เป็นต้น

ลักษณะทั่วไป

แก้วมุกดา จัดเป็นไม้ยืนต้นหรือไม้พุ่มไม่ผลัดใบ มีความสูงของต้นประมาณ 3-15 เมตร และมักเกาะอยู่บนต้นไม้อื่นๆ มีรากอากาศคล้ายกับต้นไทร เปลือกต้นเป็นสีเทา เรียบและบาง ส่วนเปลือกชั้นในเป็นสีขาว โดยมีเขตการกระจายพันธุ์ในประเทศอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไปจนถึงประเทศอินโดนีเซีย เช่น อินเดีย ศรีลังกา พม่า ลาว เวียดนาม จีนตอนใต้ หมู่เกาะใต้หวันตอนใต้ มาเลเซีย  เป็นต้น ส่วนในประเทศไทยพบได้ทุกภาค โดยพบขึ้นในป่าดงดิบ และตามซอกหินหน้าผา บางทีก็พบได้ตามป่าดิบชื้น ป่าดิบแล้ง และป่าดิบเขา

แก้วมุกดา ความหมาย

ใบ

เป็นใบเลี้ยงเดี่ยว เรียงตรงข้ามกัน ลักษณะของใบจะเป็นรูปวงรีถึงรูปขอบขนาน ปลายใบมนจนถึงแหลม ส่วนโคนใบเป็นรูปลิ่ม ขอบใบเรียบ ใบหนาและมีความเหนียว ใบแก่จะหนาและอุ้มน้ำ เรียบเกลี้ยง เส้นใบตรงข้างเลือนรางมาก และมีเส้นใบ ประมาณ 4-7 คู่ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 2-9 เซนติเมตร และยาวประมาณ 5-23 เซนติเมตร ส่วนก้านใบยาวประมาณ 1-3.5 เซนติเมตร และตามซอกใบยังมีหูใบหนาเชื่อมเป็นวงแหวน หนาประมาณ 1-2 มิลลิเมตร

แก้วมุกดาราก
http://clgc.agri.kps.ku.ac.th

ดอก

ออกดอกเป็นช่อเชิงลด คือออกเป็นช่อสั้นๆ บริเวณปลายกิ่งหรือซอกใบ มีขนาดประมาณ 4-8 เซนติเมตร กลีบดอกมีสีขาวหรือสีเหลืองอ่อน เชื่อมติดกันเป็นรูปปากแตร ส่วนปลายแยกออกเป็น 5 พู ค้างไปทางด้านหลัง บางครั้งปลายกลีบอาจแตกเป็นฝอย มีกลิ่นหอม ช่อดอกอาจยาวไปถึง 8 เซนติเมตร แต่ละดอกมีเกสรตัวผู้ 5 อัน ติดอยู่กับคอหลอดกลีบ ไม่โผล่พ้นหรือยื่นออกมา ส่วนชั้นกลีบเลี้ยงมีความยาวประมาณ 0.8-2.7 เซนติเมตร แยกออกเป็นพูป้านๆ และลึกมากกว่าครึ่งหนึ่งของชั้น

แก้วมุกดา ไม้มงคล

ผล

เป็นผลสด มีลักษณะเป็นรูปทรงกลมหรือทรงรี ผลมีขนาดประมาณ 2.5-4.5 เซนติเมตร ผลเป็นสีขาหม่นแกมสีเขียว ผลเป็นมัน เหนียว ปลายผลมีก้านเกสรตัวเมียติดอยู่ มีลักษณะเป็นจะงอยแหลมยาว ส่วนโคนผลมีชั้นกลีบเลี้ยงหุ้มอยู่ ผลเมื่อสุกจะเป็นสีม่วงเข้มถึงสีดำ เกลี้ยง เนื้อในนิ้มฉ่ำน้ำ และมีเมล็ดในผลมาก ลักษณะของเมล็ดเป็นรูปทรงรีแกมรูปขอบขนานถึงรูปไข่ โดยเมล็ดมีขนาดประมาณ 3 มิลลิเมตร

แก้วมุกดา ประโยชน์
https://medthai.com

การขยายพันธุ์

การเพาะเมล็ด ใช้เวลาค่อนข้างนาน โตช้า ประมาณ 2-2.5 ปี จึงจะเริ่มออกดอก

การตอน

ต้องใช้ฮอร์โมนในระดับที่เข้มข้นมากกว่าพันธุ์ไม้ปกติ ใช้เวลาในการออกราก 1.5-2 เดือน ออกดอกเร็วกว่าการเพาะเมล็ด แต่ระบบรากสู้ต้นที่ขยายพันธุ์จากการเพาะเมล็ดไม่ได้ ใช้น้ำในการเจริญเติบโตมาก

หากไม่รีบร้อน แนะนำให้เพาะพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด เพราะจะทำให้ได้ต้นที่แข็งแรงกว่า และมีทรงพุ่มสวยงามตามธรรมชาติมากกว่าการตอน เมล็ดที่ใช้เพาะ ควรเป็นเมล็ดที่แก่จัด ผลนิ่มแต่ยังไม่ร่วงจากต้นเท่านั้น

แก้วมุกดา ปลูกใกล้บ้าน

การออกดอก

แก้วมุกดา ออกดอกมากในช่วงฤดูฝน กลิ่นหอมตลอดวัน หอมมากช่วงที่อากาศเย็น ดอกหอมนานมากถึงแม้ดอกจะโรยและร่วงหลุดจากต้นก็ยังคงความหอมอยู่

ประโยชน์ของแก้วมุกดา

  • เนื่องจากแก้วมุกดา ประโยชน์ เป็นพันธุ์ไม้ที่ใบไม่ค่อยร่วง ทรงต้นสวยงาม ไม่ต้องตัดแต่งปลูกเป็นไม้ประดับใบได้ดี เพราะว่ามีใบสวยงามมากมีดอกสวย,มีใบสวยงามและมีกลิ่นหอม จึงสามารถนำมาใช้ปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับได้
ปลูกต้นแก้วมุกดาในบ้าน ดีไหม

สรรพคุณของแก้วมุกดา

  • เป็นยาบำรุงโลหิต แก้ผื่นคัน แก้ลมพิษ แก้กษัย แก้ภูมิแพ้ ขับปัสสาวะ ช่วยป้องกันการเกิดแผลในกระเพราะอาหาร แก้โรคนิ่วในกระเพาะได้ด้วย
  • พบว่าตามตำรายาพื้นบ้านอีสาน จะใช้รากแก้วมุกดาหรือโกงกางเขา มาต้มกับน้ำดื่ม เป็นยาบำรุงโลหิต กิ่ง เปลือกต้น หรือราก สามารถนำมาต้มกับน้ำอาบแก้อาการผด ผื่นคันจากยางของต้นรักได้ และยังมีสรรพคุณช่วยแก้ลมพิษ โดยนำกิ่ง เปลือกต้น หรือราก มาต้มกับน้ำอาบ

จะเห็นได้ว่า แม้จะเป็นไม้ยืนต้นที่พบได้ตามธรรมชาติ ตามป่าเขา แต่ก็มีประโยชน์นำมาเป็นต้นไม้ประดับตกแต่งบ้านได้ และยังมีสรรพคุณทางยา แก้ลมพิษ แก้ผื่นคัน และบำรุงโลหิต ตามภูมิปัญญาของชาวบ้านอีกด้วย.

ที่มา

ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี

ฐานข้อมูลพรรณไม้ องค์การสวนพฤกษศาสตร์ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

อยากให้มีเนื้อหาเรื่องอะไรเพิ่มเติม หรือมีความคิดเห็นอย่างไร เชิญคอมเม้นท์ไว้ได้เลยครับ