ต้นเดฟภาษาอังกฤษ : Dischidia
ต้นเดฟชื่อวิทยาศาสตร์ : Dischidia spp.
วงศ์ : Asclepiadaceae (วงศ์เก่าในระบบ APG II ซึ่งต่อมาได้ลดระดับเป็นวงศ์ย่อยนมตำเลีย (Asclepiadoideae) ในวงศ์ Apocynaceae
ต้นเดฟ เป็นพืชปีนเขาอิงอาศัยในสกุล Dischidia ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของจีน อินเดีย และอินโดจีน โดยต้นเดฟนั้นจะมีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน ทั้งนี้ใบของต้นเดฟแต่ละสายพันธุ์ก็มีความแตกต่างกันที่ทำให้เป็นส่วนที่เรามองเห็นเอกลักษณ์เฉพาะของสายพันธุ์นั้น ๆ ได้ สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ทั่วทุกพื้นที่ ถือเป็นต้นไม้ที่หลายคนนิยมนำมาปลูกเพื่อประดับสถานที่ต่าง ๆ และปลูกเพื่อเพิ่มความร่มรื่น
ความนิยมเกี่ยวกับต้นเดฟ
ต้นเดฟเป็นไม้เลื้อยอิงอาศัย ซึ่งมีอยู่หลายสายพันธุ์ โดยแต่ละสายพันธุ์นั้นจะมีความแตกต่างอยู่ที่ใบเป็นส่วนมาก ในปัจจุบันต้นเดฟถือเป็นพืชที่คนนิยมนำมาปลูกไว้เพื่อเพิ่มความร่มรื่นให้กับบ้าน อาคารสำนักงานหรือมุมพักผ่อนส่วนตัว อีกทั้งยังสามารถใช้บังสายตาจากระหว่างโต๊ะทำงานข้าง ๆ หรือจัดพื้นที่ให้เป็นมุมส่วนตัวได้ โดยส่วนใหญ่จะนิยมปลูกใส่กระถางแล้วแขวนประดับ หรือปลูกให้เลื้อยไปตามต้นไม้ใหญ่ก็จะยิ่งช่วยเพิ่มความร่มรื่นมากขึ้น
ควรปลูกบริเวณใดของบ้าน
ต้นเดฟเป็นพืชที่ชอบแสงแดดอ่อน ๆ ไม่ชอบแสงแดดจัด สภาพอากาศควรมีความชื้นนิดหน่อย ดังนั้นหากจะนำต้นเดฟมาปลูกไว้ในบริเวณบ้านควรปลูกในพื้นที่ที่มีความชื้น อากาศถ่ายเท และมีแสงแดดรำไร จะทำให้ต้นเดฟเจริญเติบโตได้อย่างสวยงาม ไม่ควรปลูกไว้ในพื้นที่ที่มีลมแรง และไม่มีแสงหรือแสงจ้าจนเกินไป
ลักษณะของต้นเดฟ
ลำต้น ต้นเดฟเป็นพืชอิงอาศัยที่มีขนาดเล็ก ลำต้นเลื้อยพัน มีรากตามข้อซึ่งใช้ยึดเกาะทุกส่วนของลำต้น และมีน้ำยางสีขาว
ใบ ใบของต้นเดฟมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ ใบรูปไข่แกมรี หนาอวบน้ำ ปลายแหลม โคนมน ผิวเป็นมัน ก้านใบสั้น มีขนาดเล็ก และอีกแบบจะมีลักษณะเป็นใบกลมพอง มีลักษณะคล้ายฝาหอยประกบกันเป็นกระเป๋า ผิวนูนขรุขระ
ดอก ดอกของต้นเดฟจะออกเป็นช่อกระจุกตามซอกใบและปลายกิ่ง และจะมีดอกย่อยจำนวน 5-10 ดอก ซึ่งมีขนาดเล็ก
ผล ผลของต้นเดฟมีลักษณะเป็นฝักคู่ และมีเมล็ดอยู่ด้านใน
สายพันธุ์อื่น ๆ
ต้นเดฟเขียว (Dischidia oiantha Schltr.)
เป็นพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศฟิลิปปินส์ เดฟเขียวเป็นไม้ล้มลุกเถาอิงอาศัย ลำต้นอวบน้ำ ห้อยลง ส่วนต่าง ๆ มีน้ำยางสีขาว มีรากตามข้อ ดอกจะออกเป็นช่อกระจุก โดยช่อดอกจะออกตามซอกใบ เป็นดอกขนาดเล็กสีเขียวอ่อน แกนช่อดอกหนา กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีจำนวนอย่างละ 4 กลีบ กลีบดอกเรียงจรดกัน ซึ่งจะออกดอกเมื่อต้นมีอาหารสะสมอย่างสมบูรณ์ ออกดอกโดยไม่เลือกช่วงเวลา สำหรับการดูแลเดฟพันธุ์นี้จะชอบแดดทางอ้อมหรือแดดรำไร ไม่ชอบแสงแดดโดยตรง และต้องการน้ำในระดับปานกลาง
ต้นเดฟใบด่าง หรือเดฟด่าง (Dischidia ‘White Diamond’)
เป็นไม้เลื้อยขนาดเล็กที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศฟิลิปปินส์ สามารถเลื้อยได้ไกลถึง 1-2 เมตร ลำต้นบอบบาง ใบมีลักษณะเป็นรูปไข่แกมรูปทรงกลม มีความกว้าง 1.2 เซนติเมตร ยาว 2-2.5 เซนติเมตร ปลายใบโค้งมน โคนใบสอบ แผ่นใบหนา ซึ่งสามารถหนาได้ถึง 3 มิลลิเมตร ด้านบนเป็นสีเขียวเข้ม มีเส้นใบออกจากโคนใบสีขาว ใต้ใบเป็นสีเขียวอ่อน เส้นใบเห็นได้ชัดเฉพาะเส้นกลางใบ ส่วนดอกจะออกเป็นช่อกระจุก โดยจะออกตามซอกใบ ช่อหนึ่งมี 3-8 ดอก ดอกมีสีขาว กลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นรูปถ้วยปลายแยกเป็น 5 กลีบ มีขนาด 3-4 มิลลิเมตร โคนกลีบเชื่อมติดต่อกัน ปลายแยกเป็น 5 แฉก ด้านในสีแดงคล้ำ ซึ่งจะออกดอกในฤดูหนาว แต่จะไม่ติดผล
ต้นเดฟกระเป๋า (Dischidia vidalii Becc.)
เป็นพันธุ์ที่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และฟิลิปปินส์ เดฟกระเป๋าเป็นพืชอิงอาศัยชนิดหนึ่ง เนื้อไม้อ่อน มีกิ่งขนาดเล็ก โดยจะทอดเลื้อยได้ด้วยรากตามข้อและปลายยอด ทุกส่วนจะมีน้ำยางสีขาว ส่วนใบจะมี 2 แบบ ได้แก่ ใบเดี่ยว เรียงตรงข้าม มีลักษณะเป็นรูปไข่ มีความกว้าง 1-1.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนา ผิวมัน และอวบน้ำ มีสีเขียว ก้านใบสั้น ส่วนอีกแบบจะเป็นใบพิเศษ มีลักษณะคล้ายกับกระเป๋ากลมพอง มีสันตลอดแนวเหมือนฝาหอยประกบกัน ผิวนูนเป็นร่างแห ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของใบ 5-6 เซนติเมตร ดอกจะออกเป็นช่อกระจุก ออกตามซอกใบและปลายกิ่ง มีช่อละ 6-12 ดอก ดอกเป็นสีแดง มีกลีบเลี้ยงขนาดเล็ก 5 กลีบ สีเขียวอมแดง กลีบดอกโคนเชื่อมติดกัน รูปกระสวย มีความยาว 0.7-1 เซนติเมตร ซึ่งเป็นสีแดง ส่วนผลจะออกเป็นฝักคู่ มีความยาว 3-5 เซนติเมตร เมื่อแก่แล้วจะแตกตามตะเข็บด้านเดียว เมล็ดกลมมี 5-10 เมล็ดต่อฝัก
ต้นเดฟหัวใจล้านดวง (Dischidia ruscifolia Decne. ex Becc.)
เป็นไม้เลื้อยขนาดเล็กประเภทเดียวกับต้นเดฟ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศฟิลิปปินส์ ลำต้นมีลักษณะเป็นเถาเลื้อยสีเขียวหรือสีน้ำตาลอมแดงขนาดเล็ก โดยสามารถทอดยาวไปได้ไกลประมาณ 1-2 เมตร มีข้อตามเถา ส่วนใบมีลักษณะเป็นรูปหัวใจ แผ่นใบเป็นสีเขียวสด หนา อวบน้ำ โคนใบมน ปลายใบแหลมเป็นติ่ง เส้นใบนูนขึ้นมาเห็นได้ชัด ใบมีความกว้างประมาณ 1.5-2 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2-3 เซนติเมตร ออกเป็นใบเดี่ยว เรียงซ้อนสลับตรงข้ามกัน ดอกจะออกเป็นช่อตามซอกใบ โดยในแต่ละช่อนั้นจะมีดอกย่อยขนาดเล็กไม่มากนัก ดอกมีลักษณะคล้ายกับรูปคนโท มีกลีบดอกสีขาวจำนวน 5 กลีบ โคนกลีบดอกเชื่อมติดกัน ส่วนปลายแยกออกจากกัน ซึ่งดอกจะออกตลอดทั้งปี แต่มักไม่ค่อยมีการติดผล
วิธีปลูกต้นเดฟ
การเพาะปลูกในกระถาง
- ขั้นตอนแรกนำดินร่วนและกาบมะพร้าวใส่ในกระถางที่เตรียมไว้ จากนั้นพรมน้ำให้ดินชุ่ม
- นำต้นเดฟใส่ลงในกระถางที่เตรียมไว้ โดยวิธีปักชำ
การเพาะปลูกบนลวด
- ขั้นตอนแรกนำลวดเส้นใหญ่มาดัดขึ้นรูปทรงต่าง ๆ ตามความต้องการ
- นำกาบมะพร้าวอ่อนเตรียมไว้มาหุ้มโครงลวดให้เต็มพื้นที่ โดยใช้ลวดเล็กมัดยึดติดกับโครง
- นำโครงลวดที่ได้ไปแช่น้ำทิ้งไว้เพื่อให้กาบมะพร้าวนิ่ม
- นำพันธุ์ต้นเดฟที่เตรียมไว้มาทาบบริเวณกาบมะพร้าว (เลือกต้นที่มีใบเรียงกันไม่หลุดจากลำต้น รวมถึงขนาดความยาวของต้นจะต้องพอดีกับโครงร่างที่จะทำการจัด) โดยใช้ลวดตัดเป็นรูปตัวยู แล้วทำการกดยึดต้นไม้เพื่อป้องกันการหลุดร่วง ให้ทิ้งระยะห่างอย่าให้ถี่มาก ทำจนกระทั่งเต็มพื้นที่
วิธีการดูแล
- แสงแดด ต้นเดฟชอบแสงแดดอ่อน ๆ หรือแสงแดดรำไร ไม่จัดมาก สภาพอากาศที่ใช้เลี้ยงควรมีความชื้นนิดหน่อย ไม่ควรปลูกในบริเวณที่มีลมแรง ไม่มีแสงหรือมีแสงแดดจ้าจนเกินไป
- น้ำ สำหรับวิธีการดูแลต้นเดฟในเรื่องของการให้น้ำ ควรรดน้ำทุกวันเป็นประจำ แต่ไม่ต้องรดน้ำมากเกินไป
- ดิน สำหรับดินที่ใช้ในการปลูกต้นเดฟควรใช้ดินร่วนและกาบมะพร้าว ซึ่งวัสดุเหล่านี้ควรมีความชื้น เนื่องจากต้นเดฟชอบความชื้นและแสงแดดรำไร ควรปลูกไว้ในบริเวณที่มีความชื้นและอากาศถ่ายเทสะดวก
- ปุ๋ย สำหรับการให้ปุ๋ยกับต้นเดฟสามารถให้ปุ๋ยประมาณเดือนละ 1 ครั้ง ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว อาจใช้ปุ๋ยเม็ดประเภทเดียวกับที่ใช้กับต้นกล้วยไม้ก็ได้ โดยให้ใส่ปุ๋ยในช่วงเช้าตอนที่มีแดด
ประโยชน์
- สามารถใช้ต้นเดฟแขวนประดับตกแต่งบ้าน อาคารสำนักงานหรือมุมพักผ่อนส่วนตัว เพื่อเพิ่มความร่มรื่นได้
- สามารถปลูกต้นเดฟเพื่อใช้บังสายตาจากระหว่างโต๊ะทำงานข้าง ๆ หรือเพิ่มความเป็นส่วนตัวในมุมส่วนตัวได้
ราคาต่อต้นโดยประมาณ
ราคาของต้นเดฟจะแตกต่างกันไป โดยมีราคาตั้งแต่ 40 บาท ซึ่งจะมีขายแบบต้นที่ไม่มีกระถาง และต้นที่มีกระถาง โดยราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 40-50 บาท ไปจนถึงหลักร้อย ทั้งนี้ราคาจะขึ้นอยู่กับขนาดและสายพันธุ์นั้น ๆ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามตลาดต้นไม้ทั่วไป