กระเจี๊ยบ อีกหนึ่งผักพื้นบ้านที่พบเห็นกันบ่อยเมื่อมีเมนูพวกน้ำพริก หรือหากเป็นเมนูต่างชาติอย่างอาหารปิ้งย่างของประเทศญี่ปุ่น ก็มักมีการกินกระเจี๊ยบควบคู่ไปด้วย ไม่เพียงเท่านี้กระเจี๊ยบที่เราเห็นกันบ่อยๆนั้นจะมีสองสีคือสีแดง ที่มักจะนำมาทำเป็นน้ำกระเจี๊ยบไว้ดื่มแก้กระหายกัน และกระเจี๊ยบเขียว ที่กล่าวไปเบื้องต้น ดังนั้นบทความนี้ เราจะพาไปรู้จักกับกระเจี๊ยบให้มากขึ้น
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์และแหล่งที่มาของกระเจี๊ยบ
กระเจี๊ยบเดิมที พบจากประเทศอินเดียโดยมีชื่อเรียกว่า ภิณฑี ทั้งกระเจี๊ยบเขียวและกระเจี๊ยบแดง ภาษาอังกฤษยังมีชื่อเรียกอื่นๆอีกไม่ว่าจะเป็น กอมโบ้ (Gombo) เบนดี (Bendee) หรือ โอคร่า (Okra) นอกจากนี้ยังพบได้แถบ แอฟริกาตะวันตก เอธิโอเปีย และเอเชียใต้อีกด้วย ชื่อวิทยาศาสตร์ของกระเจี๊ยบ คือ Abelmoschus esculentus (L.) Moench วงศ์ Malvaceae ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของกระเจี๊ยบนั้น เป็นพืชล้มลุกขนาดสูงประมาณ 0.5-2 เมตร ลำต้นมีความแข็ง และมีอายุยืน สามารถเจริญเติบโตได้ดีในภูมิอากาศเขตกึ่งร้อน โดยอุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 18-35 องศาเซลเซียส ส่วนประกอบอื่นๆของต้นกระเจี๊ยบได้แก่ ใบเป็นใบเลี่ยงเดี่ยวเรียงสลับรูปไข่ หรือค่อนข้างกลม มีขนาดกว้างประมาณ 10-30 เซนติเมตร ตรงปลายหยักแหลม ส่วนโคนเว้าเป็นรูปหัวใจ ดอกของกระเจี๊ยบของกระเจี๊ยบมีขนาดใหญ่ เป็นดอกเดี่ยวออกตามง่ามใบ บนใบมีริ้วเส้นสีเขียวประดับประมาณ 8-10 เส้น เรียงตัวเป็นวงรอบโคนกลีบเลี้ยง กลีบเลี้ยงมีจำนวน 5 กลีบ และ กลีบดอก 5 กลีบ มีสีเหลือง โดนกลีบมีสีม่วงอมแดง รูปไข่หรือค่อนข้างกลม ภายในดอกกระเจี๊ยบนั้นมีจำนวนเกสรตัวผู้ค่อนข้างมาก ก้านชูอับเรณูมีขนาดเล็กติดรอบๆหลอดของก้านเกสรตัวเมียมีรูปร่างตัวเมียเรียวยาว ปลายแยกออกเป็น 5 แฉก ยอดของเกสรตัวเมียมีลักษณะแผ่นกลมขนาดเล็กสีม่วงอมแดง ยื่นออกมาพ้นจากปากดอก ตัวผลของกระเจี๊ยบนั้นเป็นฝักรูปร่างห้าเหลี่ยม ทรงกระบอก มีความยาวประมาณ 5-30 เซนติเมตร ปลายเรียว ตัวฝักมักจะโค้งและมีขนอ่อนๆขึ้นปกคลุม ภายในฝักมีเมล็ดสีขาวทรงกลม
วิธีการปลูกและดูแลรักษากระเจี๊ยบ
การปลูกกระเจี๊ยบนั้นสามารถทำได้ง่าย โดยพื้นฐานเดิมกระเจี๊ยบนั้นเป็นพืชที่ชอบอากาศร้อน โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมที่จะทำให้ต้นกระเจี๊ยบเจริญเติบโตได้ดีคือ ประมาณ 18-35 องศาเซลเซียส นิยมปลูกต้นกระเจี๊ยบที่บริเวณแสงแดดส่องทั้งวัน และช่วงต้นของฤดูฝน ดังนั้นหากจะเริ่มปลูกกระเจี๊ยบ ต้องมีการเตรียมหน้าดินให้พร้อมก่อน โดยไถหน้าดินขึ้นมาตากไว้ประมาณ 15-20 วัน หลังจากนั้นผสมปุ๋ยคอกลงไปในดินประมาณ 0.5-1 ตันต่อพื้นที่ปลูกหนึ่งไร่ แล้วจัดทำแนวร่องให้มีระยะห่างของแถวประมาณ 1 เมตร สำหรับเตรียมปลูก การขยายพันธุ์ของกระเจี๊ยบนั้นไม่นิยมมการเพาะกล้า มักจะใช้วิธีการหยอดรือหว่านเมล็ดมากกว่า โดยการปลูกด้วยวิธีการหยอดเมล็ดลงหลุมที่เตรียมไว้ ควรมีระยะระหว่างต้น 50-100 เซนติเมตร และแต่ละหลุมควรหยอดไว้จำนวน 3-5 เมล็ด ในส่วนของการให้น้ำนั้น ในระยะแรกหลังจากหว่านเมล็ดลงหลุมแล้วนั้น ควรมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้ขาดน้ำ เพื่อให้ต้นกระเจี๊ยบเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง และควรให้ปุ๋ยเพื่อเป็นการเสริมสารอาหารให้กับต้นกระเจี๊ยบ โดยเป็นปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยอินทรีย์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละสายพันธุ์ของกระเจี๊ยบด้วย และควรเริ่มให้ปุ๋ยในช่วงที่ต้นกระเจี๊ยบมีอายุ 10-15 วัน และ 40-50 วัน ในการเก็บเกี่ยวกระเจี๊ยบนั้นควรใช้มีดหรือกรรไกรตัดให้ขาดในครั้งเดียว และไม่ควรใช้มือเด็ด
สายพันธุ์ของกระเจี๊ยบที่นิยมปลูกในประเทศไทย
ย้อนกลับไปเมื่อพ.ศ. 2516 คนไทยหลายคนเริ่มรู้จักกระเจี๊ยบเพียงชนิดเดียว ที่มีรสชาติเปรี้ยวซึ่งก็คือกระเจี๊ยบแดงนั่นเอง แต่ปัจจุบัน คนไทยรู้จักกระเจี๊ยบ 2 ชนิด ได้แก่ กระเจี๊ยบแดง และ กระเจี๊ยบเขียว ซึ่งทั้งสองพันธุ์นี้จัดอยู่วงศ์เดียวกัน คือ Malvaceae
กระเจี๊ยบแดง
ต้นกระเจี๊ยบแดงลักษณะเด่นคือมีดอกเดี่ยวออกตามง่ามของใบ กลีบและดอกมีสีเหลื่องอ่อน หรือสีชมพู กลางดอกมีสีแดงเข้ม
กระเจี๊ยบเขียว
สำหรับต้นกระเจี๊ยบเขียวมีลักษณะเด่นคือผลมีสีเขียวอ่อนเป็น ทรงยาวเป็นรูปห้าเหลี่ยม
คุณประโยชน์และสรรพคุณของกระเจี๊ยบ
กระเจี๊ยบนั้นมีคุณประโยชน์มากมายทั้งช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหาร แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง รักษาสมดุลของธาตุภายในร่างกาย โดยมักนิยมนำมาทำในรูปแบบของน้ำกระเจี๊ยบ เนื่องจากดื่มง่ายมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ให้ความสดชื่นแก้ดับกระหายได้อย่างดี ซึ่งน้ำกระเจี๊ยบนั้น จะนำกระเจี๊ยบแดงมาทำเป็นน้ำดื่ม โดยใช้ส่วนดอกในการทำน้ำกระเจี๊ยบ วิธีการทำนั้นก็ไม่ยาก ส่วนผสมมีเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น โดยจะเน้นที่วัตถุดิบหลักอย่างดอกกระเจี๊ยบแดง นอกจากนั้นก็เป็น น้ำเปล่า เกลือป่น น้ำตาลทราย น้ำแข็งก้อนเล็ก วิธีทำมีเพียงไม่กี่ขั้นตอน ดังนี้
- นำดอกกระเจี๊ยบแดงที่เตรียมไว้มาล้างน้ำให้สะอาด และไม่ต้องแกะกลีบออก
- หลังจากล้างจนสะอาดแล้ว น้ำดอกกระเจี๊ยบแดงใส่ในหม้อต้ม
- ใส่น้ำเปล่าสะอาดลงไป 4 ถ้วยตวง ลงในหม้อ ตั้งไฟกลางจนน้ำเดือดแล้วลดไฟให้อ่อนลง ต้มต่ออีกประมาณ 15-20 นาที ก็จะได้น้ำกระเจี๊ยบสีแดงสวย น่าดื่มมาก
- หลังจากที่ได้น้ำกระเจี๊ยบแล้ว ให้เติมน้ำตาลและเกลือลงไป แล้วต้มต่ออีกนิดเพื่อให้เกลือและน้ำตาลละลาย และเพื่อรสชาติที่หอม อร่อย กลมกล่อม
- ปิดไฟ ยกหม้อลง แล้วกรองน้ำกระเจี๊ยบผ่านผ้าขาวบางเพื่อให้ได้แต่น้ำ ส่วนดอกกระเจี๊ยบที่เหลือให้เก็บไว้ก่อน อย่าพึ่งทิ้ง เนื่องจากสามารถนำมารับประทานได้
- ตั้งให้เย็น แล้วใส่น้ำแข็งดื่มได้เลย.