เมื่อเอ่ยถึง สาเก หลายคนต้องนึกถึงเครื่องดื่มมึนเมาอย่างแน่นอน แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นสาเกนั้นยังมีสรรพคุณทางยาสมุนไพรต่างๆ อีกมากมายที่ช่วยในการบรรเทาอาการจากโรคได้ นอกจากนี้เชื่อว่าหลายคนอาจไม่คุ้นเคยหรือรู้จักกับตัวต้นของสาเก รวมไปถึงผลสาเกด้วย ดังนั้นบทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับสาเกให้มากขึ้น
คติความเชื่อของคนไทยกับสาเก
หากย้อนกลับไปถึงเมื่อสมัยโบราณแล้วนั้นพบว่า คนไทยในสมัยก่อนนิยมนำสาเก มาทำขนมเป็นสาเกเชื่อม แต่ทว่ากลับมีข้อห้ามว่าหากหญิงสาวคนไหนทีป่วยเป็นกามโรค หรือโรคผู้หญิงต่างๆ ห้ามรับประทานขนมสาเกเป็นอันขาด เพราะถือว่าเป็นของแสลง จะยิ่งทำให้แผลที่เกิดขึ้นตามร่างกายนั้นเกิดการลุกลามหรือติดเชื้อได้นั่นเอง
บริเวณไหนของบ้าน ที่เหมาะกับการปลูกต้นสาเก
เนื่องจากต้นสาเกนั้นเป็นไม้ยืนต้น สามารถให้ร่มเงาแก่บ้านได้ ดังนั้นจึงนิยมนำมาปลูกในบริเวณของบ้านที่มีแสงแดดส่องถึงจนอาจก่อให้เกิดความร้อนต่อตัวบ้านได้ เพราะนอกจากจะได้ร่มเงาจากต้นสาเกแล้วนั้นยังสามารถได้ใช้คุณประโยชน์จากผลของสาเกที่ปลูกไว้ด้วย
ข้อมูลทั่วไป
ชื่อสามัญ : สาเก, ขนุนสำปะลอ
ชื่อภาษาอังกฤษ : Breadfruit
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Artocarpus altilis (Parkinson) Fosberg
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของสาเก
ลักษณะลำต้นสาเก
สาเกนั้นเป็นไม้ผลพื้นเมืองที่สามารถพบได้ตามหมู่เกาะในคาบสมุทรอินเดียตะวันออก หรือคาบสมุทรแปซิฟิกตะวันตก ตัวลำต้นของสาเกนั้นจะเป็นไม้ยืนต้นมีความสูงอยู่ที่ 15-20 เมตร ไม่มีการผลัดใบ ตัวลำต้นจะแตกกิ่งก้านทรงพุ่มแผ่กว้างง เปลือกของลำต้นมีสีน้ำตาลเข้มทุกส่วน
ลักษณะใบของสาเก
ใบของสาเกจะเป็นใบเดี่ยวออกสลับกัน มีขนาดใหญ่ กว้าอยู่ที่ประมาณ 25-35 เซนติเมตร ยาวประมาณ 30-40 เซนติเมตร ตัวใบจะเว้าเป็นแฉกึกเกือบจะถึงตรงเส้นกลางของใบ ก้านใบและเส้นของใบจะมีสีเหลืองตัดกับสีแผ่นใยที่เป็นสีเขียวเข้ม ตัวยอดอ่อนของสาเกนั้นจะมีสีเหลืองอมเขียวหุ้มอยู่
ลักษณะของดอกสาเก
ดอกของสาเกนั้น จะมีการออกดอกเป็นช่อ แยกเป็นช่อของดอกตัวผู้ และช่อของดอกตัวเมีย ซึ่งช่อของดอกตัวผู้นั้นจะเป็นช่อรูปร่างยาวคล้ายกระบองห้อยลงมา มีขนาดประมาณ 20-30 เซนติเมตร ส่วนช่อของดอกตัวเมียนั้นจะเป็นรูปทรงกลม ดอกสาเกนั้นจะออกตลอดทั้งปี
ลักษณะของผลสาเก
ผลของสาเกจะมีรูปร่างทรงเกือบกลม หรือรูปทรงไข่ มีขนาดอยู่ที่ประมาณ 15-20 เซนติเมตรภายในมีเนื้อ ไม่มีเมล็ด ผลของสาเกนั้นจะมีสีเขียวอมเหลือง
วิธีการปลูกและดูแลรักษาต้นสาเก
ดิน
สำหรับดินที่ใช้ปลูกต้นสาเกนั้น สามารถใช้ดินทั่วไปทั่วทั้งประเทศไทยได้ เนื่องจากสาเกนั้นเป็นพืชที่ไม่ค่อยเลือกดินปลูก จึงสามารถปลูกทั้งดินเหนียว ดินร่วน ดินทรายนั่นเอง
น้ำ
การให้น้ำแก่ต้นสาเกนั้น ควรมีการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากสาเกนั้นเป็นพืชที่ชอบบริเวณที่มีฝนตก แต่ระวังอย่าให้น้ำขังอยู่ในดินมากเกินไป เพราะสาเกเป็นพืชที่ไม่ทนต่อน้ำขัง
แสงแดด
ควรปลูกสาเกในบริเวณที่มีแสงแดดส่องถึงตลอด เพราะสาเกเป็นพืชที่ชื่นชอบแสงแดด
สายพันธุ์ของสาเกที่พบมากในประเทศไทย
สำหรับสายพันธุ์ของสาเกที่สามารถพบได้บ่อยในประเทศไทยนั้น มีอยู่ด้วยกัน 3 สายพันธุ์ ได้แก่
- สาเกพันธุ์ดั้งเดิม หรือขนุนสำปะลอ ซึ่งลักษณะของสายพันธุ์นี้จะมีเมล็ด ซึ่งเมล็ดของสาเกสายพันธุ์นี้สามารถนำมาใช้รับประทานหรือประกอบอาหารได้ ซึ่งรสชาติของเมล็ดนั้นจะคล้ายกับเมล็ดของต้นขขนุนหรือเกาลัดจีน และสามารถนำมาประกอบอาหารประเภทขนมต่างๆได้
- สาเกสายพันธุ์ข้าวเหนียว ตัวผลของสายพันธุ์นี้จะมีลักษณะผลใหญ่ เมื่อสุกแล้วตัวเนื้อของสาเกจะเหนียว ไม่ร่วน
- สาเกสายพันธุ์ข้าวเจ้า ตัวผลของสาเกสายพันธุ์นี้จะมีขนาดผลเล็กกว่าสาเกสายพันธุ์ข้าวเหนียว เนื้อของผลจะหยาบร่วน ไม่นิยมนำมาใช้รับประทาน
คุณประโยชน์และสรรพคุณของสาเก
หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า สาเก นั้นเป็นพืชที่ให้สรรพคุณทางยาและมีคุณประโยชน์ต่างๆมากมาย ซึ่งมีดังนี้
- ผลของสาเกนั้นสามารถนำมาช่วยรักษาและป้องกันการเกิดโรคความจำเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ได้
- ไม่เพียงเท่านี้ผลของสาเกนั้นยังสามารถช่วยควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
- เปลือกของสาเกนั้นมีสรรพคุณที่สามารถช่วยปรับสมดุลภายในร่างกายได้ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ โดยการนำเปลือกของต้นสาเกนั้นมาย่างจนแห้งแล้วนำมาต้มกินแต่น้ำ
- ผลของสาเกยังสามารถช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
- ยางของต้นสาเกนั้นสามารถนำมาใช้รักษาโรคกลากเกลื้อน หิด ได้
- ช่วยยับยั้งการสร้างเมลานิน สารสกัดจากเนื้อไม้สาเกมีผลยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ซึ่งมีความแรงเท่ากับกรดโคจิก (Kojic acid) โดยได้ทำการทดลองกับผิวหนังของหนูตะเภาสีน้ำตาลที่มีสีผิวคล้ำเนื่องจากแสง UV-B ผลการทดลองพบว่าสารสกัดจากเนื้อไม้สาเกสามารถทำให้สีผิวของหนูจางลงได้โดยไม่ก่อให้เกิดอาการอักเสบที่ผิวหนังและไม่มีผลก่อให้เกิดความเป็นพิษต่อเซลล์
ราคาของต้นสาเกตามท้องตลาด
สำหรับราคาสาเกนั้น หากเป็นสายพันธุ์ที่ปลูกประมาณ 4-5 ปี ให้ผลผลิต ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 150 บาทต่อต้นนั่นเอง
แหล่งอ้างอิง
: http://www.rspg.or.th/plants_data/kp_bot_garden/kpb_20-2.htm