เพลี้ยอ่อน เป็นแมลงศัตรูพืชที่พบเห็นได้โดยทั่วไป จะพบน้อยในฤดูฝน เพลี้ยอ่อนสามารถพบเห็นอยู่ทั่วไปตลอดทั้งปี มีการกระจายตัวแบบรวมกลุ่ม โดยปกติแล้วจะไม่เกิดการระบาด เนื่องจากมีธรรมชาติคอยควบคุม ธรรมชาติที่ว่านี้ยกตัวอย่างเช่น ปริมาณน้ำฝน หรือศัตรูธรรมชาติ แต่จะพบเห็นมากช่วงฝนทิ้งช่วงหรือในฤดูแล้ง โดยเพลี้ยอ่อนจะระบาดในพืชได้เกือบทุกชนิด ทั้งในไม้ผล ไม้ยืนต้น ผัก และพืชไร่ โดยตัวเพลี้ยอ่อนเป็นแมลงปากดูดขนาดเล็ก ตัวสีเขียวอ่อนไปจนถึงสีดำเข้ม นัยน์ตาดำ หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมจะขยายพันธุ์ตามปกติ แต่หากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป ตัวเต็มวัยสามารถขยายพันธุ์โดยไม่ต้องผสมพันธุ์ และออกลูกเป็นตัว ทำลายพืชโดยดูดกินน้ำเลี้ยงตามยอด ใบอ่อน ดอก หากพืชได้รับการทำลายจะส่งผลให้ลำต้นชะงักการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ให้ผลผลิตลดลง คุณภาพผลผลิตต่ำ หรือไม่ได้ผลผลิตเลย
เพลี้ยอ่อนคืออะไร
เพลี้ยอ่อน ชื่อสามัญ Aphid หรือมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Aphis craccivora Koch คือหนึ่งในชนิดของเพลี้ยเป็นแมลงปากดูดขนาดเล็ก ทำลายพืชโดยดูดกินน้ำเลี้ยงตามยอดอ่อน ใบอ่อน ดอก สามารถพบเห็นโดยทั่วไป ตลอดทั้งปี หากมีการระบาดในขณะที่ต้นพืชยังเล็ก จะทำให้ต้นแคระแกรน ใบอ่อน ยอดอ่อนหงิกงอ หากเกิดในระยะออกดอกจะทำให้ดอกร่วง และส่งผลให้พืชหยุดชะงักการเจริญเติบโต ได้รับผลผลิตที่ไม่มีประสิทธิภาพ หรือไม่ได้รับผลผลิตเลย
ลักษณะของเพลี้ยอ่อน
ลักษณะโดยทั่วไปของเพลี้ยอ่อน เป็นแมลงปากดูดที่มีขนาดเล็ก ผนังลำตัวอ่อนนุ่ม ลำตัวจะดูคล้ายผลมะปรางบางชนิด มีการขับไขสีขาวปกคลุมลำตัว เพลี้ยอ่อนมีท่อ cornicles หนึ่งคู่อยู่ด้านท้ายของท้อง ใช้ขับสารพวก honeydew ซึ่งเป็นสารพวกน้ำตาลที่เหลือใช้จากการย่อยอาหาร มีการขยายพันธุ์โดยไม่ต้องผสมพันธุ์ และออกตัวโดยไม่มีการวางไข่ มีทั้งชนิดมีปีกและไม่มีปีก เพลี้ยอ่อนทั้งตัวอ่อนและตัวแก่ มีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก ต่างกันที่ขนาดและสี มีลำตัวสีเขียวอ่อนไปจนถึงสีดำเข้ม นัยน์ตาดำ ลอกคราบ 4-5 ครั้ง เมื่อโตเต็มที่ขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตร เพลี้ยอ่อนตัวหนึ่งจะออกลูกได้ประมาณ 27 ตัว อายุตัวอ่อนโดยเฉลี่ย 6 วัน ตัวแก่มีชีวิตอยู่ได้นาน 3-14 วัน รวมชีพจักรเฉลี่ยคือ 11 วัน ในพืชแต่ละชนิดเพลี้ยอ่อนก็จะมีลักษณะแตกต่างกันออกไป เพลี้ยอ่อนก็มีหลายชนิด ซึ่งทั่วโลกมีเพลี้ยอ่อน 4,000 ชนิด มีประมาณ 250 ชนิด ที่เป็นศัตรูสำคัญของพืช (Blackman and Estop, 2000) ในประเทศไทยรายงานว่ามีเพลี้ยอ่อนทั้งหมด 182 ชนิด (Sirikajornjaru, 2002) เช่น
เพลี้ยอ่อนสำลี
เป็นแมลงศัตรูที่สำคัญของอ้อยในอินเดีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ไต้หวัน จีน และประเทศไทย ตัวอ่อน ออกเป็นตัวใหม่ ๆ มีขนาดประมาณ 0.7 มิลลิเมตร ค่อนข้างกลม สีน้ำตาลอ่อน มีหนวดสั้นและขายาว ตัวเต็มวัยชนิดไม่มีปีก มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2.0-2.3 มิลลิเมตร ด้านบนปกคลุมด้วยขี้ผึ้งเป็นแป้งสีขาว เมื่อเปิดแป้งสีขาวออกจะเห็นลำตัวสีน้ำตาลปนเหลือง หรือสีเขียวคล้ำ หนวดสั้น ขาสั้นมากและมีสีเหลืองอ่อน ตัวเต็มวัยชนิดมีปีก ลำตัวยาว 1-2 มิลลิเมตร หัวสีดำ ลำตัวมีสีน้ำตาล ขาและหนวดสีน้ำตาลปนเหลือง ปีกใส ตรงปลายส่วนท้องไม่มีปุ่มหรือท่อ
เพลี้ยอ่อนถั่วเหลือง (Soybean Aphids)
เป็นแมลงปากดูดขนาดเล็กเคลื่อนไหวช้า อยู่รวมกันเป็นกลุ่มตามส่วนต่างๆ ของถั่วเหลือง เช่น ใต้ใบ ลำต้น ยอด และฝัก ทั้งตัวอ่อนและตัวเต็มวัยมีรูปร่างลักษณะอ้วนคล้ายผลฝรั่ง ลำตัวสีเขียวอ่อน ตาสีดำ ส่วนหัวเรียวเล็กและส่วนท้องพองโต ปลายส่วนท้องมีท่อเล็กๆ ยื่นออกมา 2 อัน เรียกว่า cornicles ตัวอ่อนมีขนาดเล็กกว่าตัวเต็มวัย ตัวเต็มวัยมีทั้งชนิดมีปีกและไม่มีปีก ออกลูกเป็นตัวโดยไม่ต้องผสมพันธุ์ (Parthenogenesis) ลอกคราบ 4 – 5 ครั้ง ขนาดลำตัวของเพลี้ยอ่อนที่โตเต็มที่กว้าง 0.6 มม. ยาว 0.8 – 0.9 มม. ระยะตัวอ่อน 5 – 7 วัน เฉลี่ย 6 วัน จะเริ่มขยายพันธุ์หลังจากเป็นตัวเต็มวัย 1 วัน สามารถออกลูกได้ 2 – 10 ครั้งต่อตัวและเพลี้ยอ่อน 1 ตัว สามารถออกลูกได้ 13 – 51 ตัว ระยะตัวเต็มวัย 3 – 14 วัน เฉลี่ย 8.5 วัน ตลอดชีพจักรรวม 8-18 วัน เฉลี่ย 13 วัน ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและสภาพแวดล้อม
เพลี้ยอ่อนฝ้าย (Cotton aphid)
ตัวเต็มวัยมีสีเขียวคล้ำ ปีกใส มีขนาดยาว 1.2-1.8 มิลลิเมตร ตัวเต็มวัยมีทั้งมีปีกใสพับข้างลำตัวและไม่มีปีก ตัวอ่อนนุ่ม เคลื่อนไวเชื่องช้า อยู่กันเป็นกลุ่มตามยอดอ่อนและใต้ใบ ตัวอ่อนมีลักษณะคล้ายตัวเต็มวัย แต่ตัวเล็กกว่าและไม่มีปีก
เพลี้ยอ่อนผัก Lipaphis erysimi (Kaltenbach)
เป็นเพลี้ยอ่อนขนาดกลาง ความยาวจากส่วนหัวถึงปลายท้องไม่รวมส่วนของ cauda ยาว 1.5-3.5 มิลลิเมตร รูปร่างเป็นรูปไข่ คล้ายผลลูกแพร์หรือผลฝรั่ง ส่วนหัว อก และท้องไม่สามารถแยกออกจากกันอย่างชัดเจน ส่วนท้องกว้างกว่าส่วนหัว มีสีเขียวอมเหลือง สีเขียวเทาหรือสีเขียวมะกอก มีไขสีขาวปกคลุมลำตัว ส่วนของ siphunculi สั้น หัวมีขนาดเล็ก vertex โค้ง antennal tubercle หนวดสีดำยกเว้นบริเวณส่วนโคนลำตัว มีรูปไข่เรียวยาวไปทางด้านหัว บริเวณท้องปล้องที่ 1-4 มีแถบสีดำเรียงกันปล้องละ 2 แถบ ปล้องที่ 5-7 มีแถบยาวพาดตามขวางของลำตัว ระยะตัวอ่อน มีการลอกคราบเพื่อการเจริญเติบโต สีของลำตัวจะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ตัวเต็มวัย 1 ตัว สามารถออกลูกได้ถึง 6-11 ตัว/วัน ในระยะเป็นตัวอ่อนนั้นจะมีการลอกคราบ 4 ครั้ง ตัวอ่อนมีอายุประมาณ 5-6 วัน หลังจากนั้นจะพัฒนาเป็นตัวเต็มวัย(พัชรินทร์ ครุฑเมือง,2555) โดยวัยที่ 1 ใช้ระยะเวลาเจริญเติบโตสั้นมาก ส่วนวัยที่ 2,3 และ 4 ใช้เวลาเจริญเติบโตระหว่าง 17-23,20-24 และ 29-31 ชั่วโมงตามลำดับ (Amjad et al.,1999) ระยะตัวเต็มวัย ลำตัวขนาดเล็ก ประมาณ 1-4 มิลลิเมตร ลำตัวนุ่มหนวดยาวคล้ายเขาสัตว์ เพลี้ยอ่อนส่วนใหญ่มี cornicle ที่สั้น ส่วนของปากมีลักษณะเป็นหลอดคล้ายเข็มขนาดเล็ก โดยตัวเต็มวัยเพลี้ยอ่อนชนิดเดียวกันมีทั้งแบบมีปีกและไม่มีปีก ตัวเต็มวัยส่วนใหญ่ที่มีปีก สีลำตัวจะเป็นสีดำ ระยะตัวเต็มวัยสามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน 6-41 วัน และสามารถออกลูกได้ตลอดชีวิตได้ประมาณ 75-450 ตัว โดยสาเหตุที่พบมากที่สุดจากการที่เพลี้ยอ่อนมีการเปลี่ยนจากแบบไม่มีปีกเป็นมีปีก คือ เพลี้ยอ่อนต้องการโยกย้ายสถานที่ เช่น เมื่อแหล่งพืชอาหารมีจำกัด หรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม (Rutikanga et al.,2012; วิโรจน์ และคณะ,2548)
เพลี้ยอ่อนข้าวโพด (Corn leaf aphid : Rhopalosiphum maidis Fitch.)
เพลี้ยอ่อนข้าวโพด เป็นแมลงชนิดเล็กเคลื่อนไหวช้า หัวและอกมีขนาดเล็ก ส่วนท้องโตมีรูปร่างคล้ายผลฝรั่ง ตัวเต็มวัยและตัวอ่อนมีลักษณะคล้ายคลึงกันมาก ตัวเต็มวัยมีสีเขียวอ่อนตลอดทั้งตัว และพบทั้งชนิดมีปีกและไม่มีปีก ซึ่งเป็นตัวเมียทั้งหมด โดยปกติพวกที่มีปีกจะมีลำตัวเล็กกว่าพวกที่ไม่มีปีก คือ มีความยาวประมาณ 0.7-2 มิลลิเมตร หัว อก หนวด และขามีสีดำ ส่วนท้องมีสีเขียวอ่อนและจุด ๆ สีดำทั่วไป ตรงส่วนท้ายของลำต้นมีท่อเล็ก ๆ ยื่นออกมาคล้ายหาง 2 อัน ท่อนี้เรียกว่า Cornicle ซึ่งเป็นที่ขับถ่ายน้ำหวาน (Honey Dew) ที่เกิดจากการดูดกินน้ำเลี้ยงจากท่ออาหารของพืชโดยปากที่มีลักษณะเป็นท่อยางคล้ายเข็มฉีดยา เพลี้ยอ่อนขยายพันธุ์โดยการออกลูกเป็นตัว มีเพศเมียเพียงเพศเดียว ตัวอ่อนที่ออกมาใหม่ ๆ มีขนาดเล็กมากจะมองเห็นเป็นเพียงจุดสีเหลืองอ่อน ๆ เพลี้ยอ่อนที่ไม่มีปีกจะลอกคราบไม่เกิน 4 ครั้ง ก็จะเป็นตัวแก่ที่สมบูรณ์ ถ้ามีการลอกคราบครั้งที่ 5 ก็จะเป็นพวกที่มีปีก ซึ่งมักจะเกิดเมื่อพืชอาหารไม่สมบูรณ์ เช่น ใบนั้นมีเพลี้ยเกาะกินอยู่อย่างหนาแน่น ขาดน้ำหรือใบแก่ไป เป็นต้น ระยะเวลาจากตัวอ่อนจนเป็นตัวโตเต็มวัยใช้เวลาประมาณ 12 วัน เมื่อเป็นตัวโตเต็มวัยแล้วก็พร้อมที่จะขยายพันธุ์ได้อีกโดยไม่ต้องผสมพันธุ์ ภายในเวลาประมาณ 5 วัน หลังจากเป็นตัวเต็มวัย เพลี้ยอ่อนตัวหนึ่งจะออกลูกได้ถึง 45 ตัว แต่โดยเฉลี่ยแล้วประมาณ 19 ตัว ตัวเต็มวัยชนิดไม่มีปีกมีขนาดยาวประมาณ 2-2.3 มิลลิเมตรเท่านั้น ถ้ามีอาหารตลอดทั้งปี ในปีหนึ่งจะมี 30-40 รุ่น
ลักษณะการทำลาย
ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช จังหวัดชลบุรี ได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ลักษณะการทำลายของเพลี้ยอ่อนนั้น คือ ตัวอ่อนและเต็มวัยดูดกินน้ำเลี้ยงจากทุก ๆ ส่วนของพืช เช่น ใบ ลำต้น ยอด กิ่ง ดอก และฝัก โดยใช้ปากแบบเจาะดูดแทงเข้าไปในเนื้อเยื่อพืช แล้วดูดกินน้ำเลี้ยง ทำให้ยอด และใบอ่อน มีอาการหงิกงอเป็นคลื่น เหี่ยวแห้ง ทำให้ใบเหลือง และร่วงหล่นไป เมื่อพืชถูกทำลายมาก ๆ จะหยุดเจริญเติบโตและตายได้ ส่งผลให้พืชให้ผลผลิตลดลง คุณภาพผลผลิตต่ำ หรือไม่ได้ผลผลิตเลย บริเวณที่มีเพลี้ยอ่อนระบาดมักจะพบเห็นมดอาศัยกินน้ำหวานที่เพลี้ยอ่อนถ่ายออกมา ซึ่งทำให้เกิดราดำ เพลี้ยอ่อนจัดเป็นศัตรูพืชที่สำคัญเนื่องจากถึงแม้ว่าจะพบในปริมาณที่ต่ำ แต่สามารถถ่ายเชื้อไวรัสแก่ต้นพืชได้ เป็นตัวพาหะถ่ายเชื้อไวรัสไปสู่ต้นพืชอื่น ๆ ได้
การแพร่ระบาด
เพลี้ยอ่อนสามารถพบได้ตลอดปี การกระจายตัวเป็นแบบรวมกลุ่ม มักระบาดในช่วงแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ยิ่งอากาศร้อนจะยิ่งเกิดการระบาดของเพลี้ยอ่อน โดยปกติแล้วเพลี้ยอ่อนเพลี้ยอ่อนจะเกาะกันเป็นกลุ่มอยู่กับที่ ไม่ค่อยเคลื่อนย้ายตัวไปไกลจากบริเวณแหล่งที่หากิน แต่จะเริ่มกระจายไปพื้นที่อื่น ๆ เมื่อแพร่ลูกหลานออกมาจนอาหารไม่เพียงพอ แพร่กระจายโดยตัวเต็มวัยชนิดมีปีก และมดที่คาบตัวอ่อนของเพลี้ยอ่อนไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช ซึ่งการระบาดของเพลี้ยอ่อน สามารถพบเห็นได้ในพืชหลายชนิด โดยเฉพาะผักที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจของไทย อย่างเช่น อ้อย ข้าวโพด ผักในวงศ์แตง(Cucerbitaceae) วงศ์กะหล่ำ (Cruciferae) วงศ์พริก มะเขือ (Solanaceae) และวงศ์ถั่ว (Leguminosae) กรมวิชาการเกษตร,2556
การป้องกันกำจัด
นางสาวษศิวรรณ เรื่อศรีจันทร์ ได้รวบรวมวิธีการป้องกันและกำจัดเพลี้ยอ่อนไว้ มีขั้นตอนดังนี้
- หมั่นสำรวจติดตามสถานการณ์เพลี้ยอ่อน ถ้าพบในระยะออกดอกหรือติดฝักอ่อน มากกว่า 10 ตัวต่อใบให้รีบทำการป้องกันกำจัด
- ป้องกันกำจัดมดภายในแปลง เพื่อไม่ให้เป็นพาหะนำเพลี้ยอ่อนไปยังต้นพืชอื่น
- ปล่อยตัวอ่อนของด้วงเต่าตัวห้ำ อัตรา 100 ตัว/ไร่ หากพบศัตรูพืชในปริมาณมากและต้องการกำจัดก่อนที่จะระบาดสร้างความเสียหาย ควรปล่อยตัวอ่อนด้วงเต่า 1,000 ตัว/ไร่
- ใช้สารสกัดจากพืชฉีดพ่น เช่น สารสกัดจากสะเดา ยาสูบ หางไหล สลอด กะเม็ง ฝักคูณ น้ำนมราชสีห์ และดอกดาวเรือง เป็นต้น
- ใช้เชื้อราบิวเวอเรียฉีดพ่น โดยใช้เชื้อสดอัตรา 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ควรฉีดพ่นในช่วงเวลาเย็นถึงค่ำ และควรให้น้ำก่อนหรือหลังการใช้เชื้อราบิวเวอเรีย
- หากพบเพลี้ยอ่อนระบาดมากให้ใช้สารเคมีฉีดพ่น เช่น โอเมทโธเอ เมทามิโดฟอส คาร์โบซัลแฟน คาร์บาริล และไซเพอร์เมทริน เป็นต้น และปริมาณตามอัตราที่ฉลากผลิตภัณฑ์แนะนำ
เนื่องจากเพลี้ยอ่อนทำความเสียหายมากในระยะต้นอ่อน จึงควรทำการป้องกันกำจัดแต่เนิ่น ๆ โดยใช้ carbofuran 3% G (Furadan 3% G) อัตรา 4 กก.ต่อไร่ จะสามารถป้องกันเพลี้ยอ่อนและแมลงศัตรูชนิดอื่นในระยะต้นอ่อนได้เป็นอย่างดี ถ้าพบเพลี้ยอ่อนในระยะออกดอกหรือติดฝักอ่อน มากกว่า 10 ตัวต่อใบ ให้พ่นด้วย triazophos 0.1% (Hostathion 40% EC) หรือ methamidophos 0.05% (Tamaron 600 SL) 60% 1-2 ครั้ง โดยพ่นเป็นจุด ๆ ที่พบเพลี้ยอ่อนลงทำลายทุก 10-15 วัน นอกจาก 6 วิธีดังที่กล่าวมาแล้วเพลี้ยอ่อนยังมีศัตรูธรรมชาติที่สามารถทำลายตัวอ่อนของเพลี้ยอ่อนได้ ซึ่งเราสามารถพบได้ในแปลงที่มีเพลี้ยอ่อนระบาด ศัตรูธรรมชาติของเพลี้ยอ่อนนั้นมีดังนี้ ตัวห้ำ ด้วงเต่า (Lady beetle) ด้วงเต่าลายสมอ Coccinella rependa Thunberg ด้วงเต่า Ileis cincta Fabricius ด้วงเต่าลายหยัก Menochilus sexmaculatus Fabricius ด้วงเต่าสีส้ม Micraspis discolor Fabricus ด้วงเต่า Synonycha grandis Thunb ตัวอ่อนแมลงวันดอกไม้ (Syrphid fly) Syrphus balteatus แมลงช้างปีกใส (Green lacewings) Mallada basalis เป็นต้น
แหล่งที่มา
ศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรด้านอารักขาพืช จังหวัดชลบุรี/ข่าวพยากรณ์และเตือนภัยการระบาดศัตรูพืช
กนกกาญจน์ ตลึงผล มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ / การควบคุมเพลี้ยอ่อนผัก Lipaphis erysimi (Kalt.) (Hemiptera: Aphididae) ในการปลูกพืช ระบบไฮโดรโปนิกส์ด้วยเชื้อราโรคแมลง Metarhizium guizhouense PSUM04 และ Beauveria bassiana PSUB01