ทำความรู้จักโรค ใบไหม้ เกิดขึ้นได้อย่างไรพร้อมวิธีป้องกันกำจัด

โรคใบไหม้เป็นโรคพืชอีกประเภทหนึ่งที่พบได้บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการปลูกพืชในลักษณะของพืชสวน พืชไร่ หรือไม้ประดับ ก็มีโอกาสได้รับความเสียหายจากโรคใบไหม้ได้ทั้งนั้น เมื่อไรที่เราพบบางส่วนของใบพืชเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแห้งกรอบ เมื่อนั้นก็ได้เผชิญกับโรคใบไหม้เรียบร้อยแล้ว คนส่วนใหญ่นิยมที่จะตัดส่วนที่ไหม้ทิ้งไป ซึ่งก็พอช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่หากยังไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่นานนักโรคนั้นก็จะกลับมาได้อีก เราจึงควรทำความเข้าใจกับโรคใบไหม้ให้มากขึ้น เพื่อการดูแลและป้องกันที่จะให้ผลลัพธ์ที่ดีในระยะยาว

ใบไหม้ คืออะไร

ใบไหม้คือโรคที่เกิดได้กับพืชแทบทุกชนิด แม้ว่าจะมีสาเหตุการเกิดโรคที่หลากหลาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นผลกระทบของเชื้อราบางชนิด ซึ่งสามารถฝังตัวอยู่ในใบพืชได้นานพอที่จะรอสภาวะอันเหมาะสมได้ จากนั้นก็จะทำให้เซลล์พืชตายอย่างรวดเร็ว ในลักษณะของการเกิดรอยแผลชนิดแห้งที่กินบริเวณเป็นวงกว้าง หากไม่ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องก็จะลุกลามจนแห้งตายทั้งใบได้ ทั้งยังสามารถแพร่กระจายไปยังใบอื่นหรือต้นอื่นที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงได้ด้วย โรคใบไหม้จึงเป็นอันตรายต่อเกษตรกรที่เพาะปลูกพืชเพื่อหวังผลผลิตอย่างมาก

ทุเรียน ใบไหม้
https://www.gurukaset.com

อาการใบไหม้

แม้ว่าจะมีชื่อว่าโรคใบไหม้ แต่ความเสียหายของพืชก็สามารถเกิดได้กับทุกส่วนของลำต้น และยังเกิดขึ้นได้ในทุกระยะการเติบโตอีกด้วย จากข้อมูลของกรมส่งเสริมการเกษตรระบุว่า ถ้าเกิดโรคใบไหม้ในช่วงที่ยังเป็นต้นกล้า ส่วนใหญ่จะสังเกตเห็นได้ค่อนข้างยาก เนื่องจากรอยไหม้มักมีขนาดเล็ก กระจายตัวอยู่ตามขอบใบเลี้ยงและเนื้อใบอ่อน บางครั้งมีให้เห็นเป็นจุดๆ ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่าเป็นโรคใบจุด แต่ไม่นานก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงของใบได้อย่างชัดเจน เริ่มจากสีซีดลง เนื้อใบบาง และค่อยๆ แห้ง จนต้นกล้านั้นล้มตายไป ต่อให้รอดพ้นจากช่วงนี้ไปได้ก็จะเป็นต้นพืชที่เติบโตได้ไม่เต็มที่ มีลำต้นแคระแกร็นกว่าปกติ และแน่นอนว่าไม่สามารถให้ผลผลิตที่น่าพอใจได้ด้วย

โรคใบไหม้ในนาข้าว
http://manchakhiri.khonkaen.doae.go.th/read-842

ส่วนในต้นไม้ที่โตเต็มวัยแล้ว อาการใบไหม้จะสังเกตเห็นได้ง่ายกว่า คือมีรอยไหม้บริเวณขอบใบหรือปลายใบ ส่วนใหญ่ใบแก่จะแสดงอาการให้เห็นก่อน ถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่แก้ไข รอยไหม้นั้นก็จะลุกลามทั่วทั้งใบ และยังลามไปยังส่วนอื่นได้ ทั้งก้านใบ ลำต้น และหัวที่อยู่ใต้ดิน ลำดับการเกิดอาการของโรคใบไหม้ในพืชแต่ละชนิดจะแตกต่างกันไปบ้าง เช่น บางสายพันธุ์มีการก่อตัวของโรคที่ข้อต่อลำต้นก่อน บางสายพันธุ์มีปัญหาที่ก้านใบก่อน เป็นต้น แต่ไม่ว่าอย่างไร ลักษณะอาการหลักของโรคที่เป็นความแห้งเหี่ยวเหมือนโดนไฟไหม้ก็จะคล้ายคลึงกันทั้งหมด

ต้นไม้ใบไหม้ ทำยังไง
https://readthecloud.co/7-tips-to-grow-foliage-plants-for-beginner/

สาเหตุและการแพร่ระบาดของโรค

สาเหตุของการใบไหม้

สาเหตุของการใบไหม้เกิดจากเชื้อรา เชื้อราที่สร้างความเสียหายให้กับต้นพืชนั้นมีหลายชนิด และจะส่งผลกระทบในลักษณะที่แตกต่างกันไป ในส่วนของโรคใบไหม้จะเป็นผลของเชื้อราหลายชนิด เช่น Pestalotropsis sp., Magnapothe grisea Barr. เป็นต้น ซึ่งปกติจะอาศัยอยู่ตามพื้นที่เขตร้อนชื้น และสามารถแพร่กระจายไปตามกระแสลมได้ นี่จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ควบคุมสาเหตุการเกิดโรคใบไหม้ได้ค่อนข้างยาก เพราะเราไม่มีทางแน่ใจได้ว่าต้นพืชที่เพาะปลูกจะได้รับเชื้อรามาในจังหวะไหน และยังไม่รู้แน่ว่าเชื้อราได้ฝังตัวอยู่ในต้นพืชนานเท่าไรกว่าจะแสดงอาการให้เราได้เห็นอย่างชัดเจน

โรคใบไหม้เกิดจากอะไร
https://www.svgroup.co.th/blog

การแพร่ระบาดของโรคใบไหม้

สถาบันวิจัยข้าวของกรมส่งเสริมการเกษตร ได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโรคใบไหม้ไว้ในเอกสารข้อควรระวังในการปลูกข้าวไว้ว่า หลังจากเชื้อราได้อยู่บนต้นพืชที่เหมาะสมดีแล้ว ก็จะเริ่มสร้างความเสียหายพร้อมกับการสร้างสปอร์เอาไว้ที่ส่วนใบ สปอร์นั้นจะแตกตัวแล้วพัดกระจายไปตามสายลม จนกระทั่งไปตกที่ต้นพืชต้นอื่น หากบังเอิญมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สปอร์ก็จะงอกและเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการสร้างเส้นใยโยงยึดเข้าไปทางปากใบ เพื่อให้เชื้อสามารถส่งต่อเข้าสู่เซลล์พืชได้ง่าย หลังจากนั้นไม่เกินสัปดาห์ พืชก็จะมีอาการใบไหม้ให้เห็น ขณะเดียวกันสปอร์ใหม่ที่พึ่งสร้างความเสียหายนี้ก็จะทำการผลิตสปอร์รุ่นใหม่ออกมาอีก วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเชื้อราจะถูกกำจัด ด้วยวงจรเหล่านี้จึงทำให้โรคใบไหม้แพร่กระจายได้ค่อนข้างเร็ว

โรคใบไหม้เกิดจากอะไร
https://www.svgroup.co.th/blog/

ปัจจัยที่มีผลต่อโรค

  • แหล่งที่มาของโรค

สิ่งแรกที่ต้องรู้ก็คือ เชื้อรานั้นค่อนข้างทนต่อสภาพแวดล้อมที่เลวร้าย ดังนั้นมันจึงสามารถกระจายตัวอยู่ได้หลายแห่ง ไม่ใช่แค่บนต้นพืชเท่านั้น แต่อาจจะเป็นฟางข้าว ตอไม้ และวัชพืชที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับแปลงเพาะปลูก แม้แต่บนเมล็ดพันธุ์ที่เก็บไว้ก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อราได้เช่นกัน

  • สปอร์

ประเด็นของสปอร์นี้เป็นเรื่องระยะการเติบโตของสปอร์ ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นเชื้อราชนิดไหน เพราะสุดท้ายมันมีลำดับการเติบโตเหมือนกัน โดยเริ่มต้นที่ระยะ alloinfection คือช่วงที่สปอร์เตรียมพร้อมสำหรับการเติบโต ยังเป็นสปอร์ใหม่ที่พัดมาจากแหล่งอื่นแล้วตกลงบนต้นพืช ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดโรคด้วย และต่อมาเป็นระยะ autoinfection คือเป็นช่วงที่เชื้อโรคเพิ่มจำนวนมากแล้ว เป็นสปอร์ที่อยู่ในพื้นที่มานาน แน่นอนว่าช่วงนี้จะจัดการปัญหาได้ยากกว่าช่วงแรก

โรคใบไหม้ แก้ ยังไง
https://erawanagri.com/late-blight-potato/
  • อุณหภูมิและความชื้น

เนื่องจากต้นกำเนิดของเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคใบไหม้คือพื้นที่ในเขตร้อนชื้น ดังนั้นระดับอุณหภูมิที่ดีต่อการฟักตัวของโรคจึงเป็นอุณหภูมิที่สูงในระดับหนึ่ง ช่วงประมาณ 25-27 องศาเซลเซียสถือว่าเป็นค่าอุณหภูมิที่ดีมาก เชื้อโรคจะใช้เวลาในการฟักตัวสั้น ประมาณ 4-6 วันก็เริ่มสร้างความเสียหายได้แล้ว แต่ถ้าอากาศเย็นกว่านี้ระยะฟักตัวจะยืดออกไปประมาณ 1-2 เท่า ส่วนความชื้นจะมีผลโดยตรงต่อการผลิตสปอร์ ยิ่งชื้นมากเท่าไรก็ยิ่งดี

  • การเปียกของใบ

ความชุ่มน้ำของใบพืชมีผลต่อการงอกของสปอร์โดยตรง ถ้าใบพืชเปียกต่อเนื่องมากกว่า 3 ชั่วโมง สปอร์จะงอกได้ทันที หลังจากงอกไปแล้ว ถึงจะเจอกับสภาพที่ค่อนข้างแห้งอีกครั้งก็ไม่มีผลต่อการงอกของสปอร์มากนัก เนื่องจากยังมีความชื้นในอากาศสนับสนุนอยู่ ใบพืชจึงต้องมีช่วงเวลาแห้งนานกว่า 24 ชั่วโมง ถึงจะป้องกันการงอกของสปอร์ได้

น้ำเยอะเกินไป ใบไหม้
ภาพโดย Gelly___ จาก Pixabay
  • ปริมาณน้ำ

ปริมาณน้ำที่พูดถึงนี้จะเน้นไปที่ปริมาณน้ำฝนเป็นหลัก เพราะมีอิทธิพลต่อค่าความชื้นค่อนข้างมาก ถ้าฝนตกต่อเนื่องยาวนานก็จะมีผลทำให้ใบพืชเปียกชื้นอยู่หลายชั่วโมง สปอร์ที่เกาะอยู่ก็จะงอกได้ หรือถ้าฝนตกไม่นานแต่มีฝนปริมาณมาก ก็จะเพิ่มค่าความชื้นสัมพัทธ์ ซึ่งส่งเสริมให้สปอร์เติบโตได้ดีเช่นเดียวกัน

โรคใบไหม้ ที่เกิดจาก เชื้อรา
https://www.kasetorganic.com/knowledge/flood-tolerant/
  • ปริมาณปุ๋ย

จะมีปุ๋ยชนิดเดียวเท่านั้นที่ต้องระวังมากเป็นพิเศษ ก็คือปุ๋ยที่มีค่าไนโตรเจนสูง ยิ่งต้นพืชได้ธาตุอาหารชนิดนี้มากเท่าไร ก็จะกระตุ้นให้ความเสียหายจากโรคใบไหม้เพิ่มสูงขึ้นมากเท่านั้น

ใส่ปุ๋ยมากเกินไป ใบไหม้
https://www.svgroup.co.th/blog

การป้องกันจำกัด

การป้องกันไม่ให้เกิดโรคใบไหม้

อย่างที่ได้เกริ่นไปข้างต้นแล้วว่าการป้องกันโรคใบไหม้นั้นทำได้ค่อนข้างยาก เพราะมีปัจจัยทางธรรมชาติที่ควบคุมไม่ได้อยู่ด้วย แต่อย่างไรเราก็ยังสามารถจัดการในส่วนที่ทำได้อยู่ ด้วยการตัดวงจรการเติบโตของเชื้อราทั้งหมด เริ่มจากทำความสะอาดโรงเรือนและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องด้วยน้ำยากำจัดเชื้อราตามรอบเวลาที่เหมาะสม คลุกเมล็ดพันธุ์ด้วยสารป้องกันเชื้อราก่อนทำการเพาะปลูก ส่วนของแปลงปลูกก็ต้องมีการบริหารพื้นที่ให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกในทุกระยะการเติบโตของต้นพืช วางแผนการรดน้ำที่ไม่ทำให้ใบเปียกชื้นนานเกินไป และถ้าเป็นไปได้ก็ควรเลือกใช้สายพันธุ์ที่ทนทานต่อโรคด้วย

ป้องกันโรคใบไหม้
https://twitter.com/1rai1san/status/890733159192461312?lang=gu

การกำจัดเมื่อเกิดปัญหาโรคใบไหม้ขึ้นแล้ว

ถึงเราจะป้องกันอย่างดีแล้วก็ยังมีโอกาสที่โรคใบไหม้จะเกิดขึ้นได้อีก แต่มันจะไม่รุนแรงเท่ากับพืชที่ขาดการป้องกัน ทันทีที่เห็นสัญญาณของโรคใบไหม้ ให้ตัดส่วนใบนั้นทิ้ง แล้วนำไปเผาหรือตากทิ้งไว้กลางแดด จากนั้นคอยเฝ้าสังเกตอาการต้นพืชที่มีปัญหาเป็นระยะๆ ถ้าต้นพืชมีความเสียหายหนักมากจนต้องถอนออก ก่อนจะปลูกต้นใหม่ต้องมีการใช้สารกำจัดเชื้อราในแปลงปลูกให้เรียบร้อย

ใบไม้ แก้ ยังไง
https://gardenlux-th.designluxpro.com/sad-i-ogorod/derevya/obrezka-slivy.html

ต้นไม้บางชนิดมีวิธีดูแลป้องกันแตกต่างกัน เช่น

  • ไทรใบสัก เนื่องจากเป็นพันธุ์ไม้ที่เติบโตได้ง่ายในทุกสภาพแวดล้อม จึงใช้ดินได้หลายประเภทขอแค่ระบายน้ำดีก็พอ ควรให้น้ำอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง และต้องเช็คว่าหน้าดินแห้งสนิทถึงรดน้ำได้ ใส่ปุ๋ยคอกประมาณปีละ 1-2 ครั้ง หมั่นตัดใบล่างทิ้งเมื่อเริ่มแก่จัด และระวังเรื่องความอับชื้นของสถานที่ตั้ง
  • ยางอินเดีย ควรเพาะปลูกในดินที่มีลักษณะโปร่ง ระบายน้ำได้เร็ว อาจผสมทรายหยาบลงในดินเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำได้ ความถี่ในการรดน้ำทีเหมาะสมอยู่ที่ประมาณ 3-5 วันต่อครั้ง ระวังอย่าให้น้ำท่วมขังเป็นอันขาด ให้ใช้ปุ๋ยบำรุงใบประมาณ 2-3 เดือนต่อครั้ง อย่าปล่อยให้ต้นยางอินเดียอยู่ในพื้นที่อับชื้นและไม่ปลอดโปร่ง เพราะเกิดเชื้อราได้ง่ายมาก ทั้งนี้ต้องระวังอย่ารดน้ำมากเกินไปด้วย
  • มอนสเตอร่า โรงเรือนควรพรางแสงได้ 60-70% ใช้วัสดุปลูกที่ระบายน้ำได้ดี เช่น กาบมะพร้าวสับหยาบ เป็นต้น ควรให้น้ำวันละ 1 ครั้งในช่วงเช้า และงดให้น้ำอย่างเด็ดขาดหลังเที่ยงวันเป็นต้นไป ปกติใช้เป็นปุ๋ยละลายช้า 3 เดือนต่อครั้ง หากลำต้นแคระแกร็นให้เสริมด้วยปุ๋ยคอก ระวังเรื่องความชื้นให้มาก และหมั่นสลัดใบให้แห้งอยู่เสมอ
  • พลูด่าง หากปลูกในน้ำเพียงอย่างเดียวต้องหมั่นเปลี่ยนน้ำอย่างน้อยเดือนละ 1-2 ครั้ง หากปลูกในดิน ควรทำให้ดินมีความโปร่งและระบายน้ำดี อาจผสมกับแกลบหรือถ่านก็ได้ ควรรดน้ำประมาณสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ปกติแล้วต้นพลูด่างไม่จำเป็นต้องใส่ปุ๋ย แต่ถ้าสังเกตเห็นว่าใบไม่เติบโตเต็มที่ก็เติมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยเคมีตามสมควร ระวังความเปียกชื้นของใบเป็นหลัก และหมั่นสังเกตรอยใบไหม้อย่างสม่ำเสมอ เจอเมื่อไรให้ตัดทิ้งทันที
โรคใบไหม้ พลูด่าง
  • ทุเรียน ถ้าเป็นพื้นที่ลุ่มต้องมีการยกร่องสวนให้กว้างไม่น้อยกว่า 6 เมตร และต้องทำระบบระบายน้ำให้ดี ถ้าเป็นที่ดอนให้ปรับพื้นจนเรียบแล้วเพิ่มรองระบายน้ำตามเหมาะสม อัตราการให้น้ำกับต้นทุเรียนต้องมีการคำนวณตามลักษณะพื้นที่ โดยเอา 0.6 คูณด้วยอัตราการระเหยน้ำต่อวันของพื้นที่นั้นๆ แล้วค่อยคูณด้วยพื้นที่ใต้ทรงพุ่มอีกที จึงจะได้เป็นปริมาณน้ำต่อวัน ควรผสมผสานกันระหว่างปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมี โดยใส่ปุ๋ยคอก 2 ครั้งต่อปี และใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-16-16 ปีละ 1 ครั้ง ให้ระวังโรคใบไหม้ในช่วงที่ฝนหลากหรือแล้งจัด เพราะเป็นช่วงที่ต้นทุเรียนอ่อนแอ หากเห็นสัญญาณของโรคก็ใช้พ่นสารกำจัดเชื้อราได้ทันที
  • ข้าว แปลงนาจะต้องมีการรักษาระดับน้ำอย่างสม่ำเสมอ ระดับที่เหมาะสมคือ 10-15 เซนติเมตร หลังหว่านควรทำนาเปียกสลับแห้งในช่วง 20-60 วันแรก ให้น้ำตามช่วงเวลาการเพาะปลูกที่เหมาะสม ปรับสูตรปุ๋ยให้สอดคล้องกับลำดับการเจริญเติบโตของต้นข้าว และต้องระวังไม่ให้มีปริมาณของปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไป คลุกเมล็ดข้าวกับสารกำจัดเชื้อราก่อนหว่าน และเฝ้าระวังสัญญาณการติดเชื้อตั้งแต่ระยะกล้าไปจนถึงระยะออกรวง เมื่อพบรอยไหม้ให้ทำการพ่นยากำจัดโรคพืชทันที
  • ผัก ปลูกในดินที่ระบายน้ำได้ดี แปลงปลูกควรมีระยะห่างกันตามสมควร เพื่อไม่ให้ผักที่โตแล้วอยู่กันอย่างอัดแน่นเกินไป ควรให้น้ำ 1-2 ครั้งต่อวัน ปรับตามปริมาณน้ำที่ผักชนิดนั้นๆ ต้องการ แต่ต้องงดการให้น้ำในช่วงเย็น เพราะจะทำให้ใบเปียกชื้นนานกว่าปกติ ผสมปุ๋ยคอกลงในดินก่อนเพาะปลูก และใส่ปุ๋ยเพิ่มหลังจากนั้นตามความเหมาะสม เก็บส่วนที่เสียหายไปเผาทำลาย ทำความสะอาดเครื่องมือเกษตรด้วยแอลกอฮอล์ 95% อย่างสม่ำเสมอ และพ่นสาร Copper oxychloride หรือสารอื่นที่มีคุณสมบัติเดียวกันทุก 5-7 วัน
  • ข้าวโพด ดินต้องมีความร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี ควรเว้นระยะห่างระหว่างแถวเพาะปลูกอย่างน้อย 75 เซนติเมตร และระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 25 เซนติเมตร ให้น้ำทันทีหลังลงปลูก จากนั้นให้รดน้ำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ยืดหยุ่นได้บ้างตามสภาพอากาศ นอกจากนี้ก็ให้รดน้ำทุกครั้งหลังใส่ปุ๋ยด้วย ปกติจะใส่ปุ๋ยเพียงแค่ 2 ครั้งตลอดระยะเวลาการเพาะปลูก คือช่วงที่ต้นข้าวโพดมีอายุได้ 20-25 วัน และตอนที่มีอายุ 40-45 วัน โดยใช้เป็นปุ๋ยยูเรียโรยข้างต้นข้าวโพดแล้วรดน้ำตาม ปลูกพืชหมุนเวียน ระวังการใช้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนมากเกินไป และใช้พันธุ์ที่ต้านทานต่อโรค
โรคใบไหม้ ข้าวโพด
https://www.svgroup.co.th/blog/

การควบคุมเชื้อรา สาเหตุของโรคใบไหม้

มีผลการทำวิจัยของมหาวิทยาลัยขอนแก่นเกี่ยวกับเรื่องการควบคุมเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคใบไหม้ ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว เพราะเป็นการทดลองควบคุมเชื้อราด้วยสาร 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นการควบคุมแบบเคมี ที่ใช้สารควบคุมเป็นน้ำมันหอมระเหยจากพืช และสารป้องกันเชื้อราชนิดดูดซึมที่นิยมใช้กันในกลุ่มเกษตรกร เรียกว่า carbendazim และกลุ่มที่เป็นการควบคุมเชิงชีวภาพ โดยใช้เป็นเชื้อจุลินทรีย์ B. subtilis และเชื้อราชั้นสูงมาควบคุมเชื้อราตัวก่อโรคอีกที ผลปรากฏว่าการควบคุมเชิงชีวภาพนั้นให้ผลดีและไม่แตกต่างนักกับการใช้สารป้องกันเชื้อรา นั่นหมายความว่าเกษตรกรมีทางเลือกที่จะใช้สารตัวเดิมซึ่งคุ้นเคยการใช้งานดีอยู่แล้ว หรือจะปรับมาเป็นการดูแลแบบชีวภาพก็ได้เหมือนกัน

โรคใบไหม้ แก้ ยังไง

ที่มา

กลุ่มวิจัยโรคพืช สำนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร, คู่มือโรคผัก. 2552.
กฤษณา พงศ์พาณิช, โรคกล้าไม้ในโรงเรือนเพาะชำ.
กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, เอกสารวิชาการ ข้าว. 2548.

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความนี้