กาแฟดริป (Drip Coffee) คือกาแฟที่ชงด้วยวิธีการง่าย ๆ เป็นการชงกาแฟผ่านตัวกรอง ซึ่งจะมีทั้งแบบดริปสด ๆ ในร้านและแบบกึ่งสำเร็จรูปที่มาในรูปแบบของซองดริปและกาแฟดริปแบบบดสดๆ จะมีกลิ่นและรสชาติที่หอมและชัดกว่าแบบซอง โดยวิธีการดังกล่าวจะสามารถดึงรสชาติของกาแฟคั่วบดออกมาได้เป็นอย่างดี ซึ่งในอดีตนั้นคนจะนิยมชงกาแฟเพื่อดื่มเองที่บ้านในทวีปยุโรป สแกนดิเนเวีย เกาหลี และญี่ปุ่น
คนดื่มกาแฟดริปส่วนใหญ่จะเป็นนักดื่มกาแฟที่ต้องการรับรสชาติของกาแฟสายพันธุ์นั้น ๆ ซึ่งจะดื่มแบบไม่เติมน้ำตาลหรือปรุงรสใด ๆ เลย และกาแฟนั้นก็ถือว่าเป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง โดยรสชาติของแต่ละสายพันธุ์ก็จะแตกต่างกันออกไป และขึ้นอยู่กับการดูแลตั้งแต่เริ่มปลูก เริ่มเก็บเกี่ยว จนกระทั่งนำมาคั่ว นักดื่มกาแฟก็จะดื่มด่ำกับรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของกาแฟสายพันธุ์นั้น ๆ เช่น กาแฟไทยออกเป็นผลไม้เมืองร้อน บราซิลมีกลิ่นช็อกโกแลต โคลอมเบียบางตัวจะมีกลิ่นแอปเปิล เอธิโอเปียอาจมีกลิ่นสตรอว์เบอร์รี เป็นต้น
ประเภทของกาแฟดริป
กาแฟดริปแบบชงสด
วิธีนี้คือการชงกาแฟโดยใช้น้ำร้อนผ่านกาแฟคั่วบด โดยมีตัวกรองกากกาแฟแยกไว้ด้านบน และน้ำกาแฟที่ได้จะหยดลงใส่ภาชนะที่เตรียมไว้รออยู่ด้านล่าง ถือเป็นการสกัดกาแฟด้วยแรงโน้มถ่วงโลกแบบล้วน ๆ ซึ่งหลักการง่าย ๆ ของการชงกาแฟวิธีนี้ก็คือเมื่อน้ำร้อนค่อย ๆ ซึมผ่านตัวกาแฟคั่วบดแล้ว น้ำจะเป็นตัวดูดซึมเอาน้ำมันและส่วนประกอบสำคัญจากกาแฟออกมา จึงทำให้ได้กลิ่นหอมและรสชาติที่แตกต่างออกไปตามแต่ละชนิดและสายพันธุ์ของกาแฟตัวนั้น ๆ
กาแฟดริปแบบซอง
ถูกออกแบบมาในลักษณะซองกระดาษที่มีตัวกรองมาให้ในตัว คล้ายกับถุงชาแต่จะมีที่เกี่ยวที่แข็งแรงกว่า และกาแฟดริปแบบซองก็เป็นกาแฟที่ไม่มีส่วนผสมจากน้ำตาล นม หรือครีมเทียมอยู่เลย จึงทำให้สะดวกต่อการชงและสามารถนำไปปรับเปลี่ยนให้เป็นเมนูเครื่องดื่มอื่น ๆ ได้ง่าย และยังเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพด้วย เนื่องจากกาแฟดริปนั้นจะไม่มีน้ำตาลแฝงออกมาเท่ากับการดื่มกาแฟสำเร็จรูปทั้งในรูปแบบซองและกระป๋อง รวมไปถึงกาแฟชงสดตามร้านที่นิยมใส่ทั้งนมข้นและน้ำตาลในปริมาณที่มากเกินไปด้วย
เหตุผลที่กาแฟดริปได้รับความนิยม
เนื่องจากกาแฟดริปมีรสชาติที่หอมกลมกล่อม ดื่มง่าย และดีต่อสุขภาพ จึงทำให้คนส่วนใหญ่นิยมดื่มกาแฟดริป นอกจากนี้กาแฟดริปส่วนใหญ่ก็จะใช้กาแฟคั่วอ่อน-คั่วกลาง ซึ่งขณะที่คั่วนั้นจะไม่เกิดการไหม้ใด ๆ ที่ทำให้เกิดสารก่อมะเร็ง และสารอาหารและวิตามินในเมล็ดกาแฟนั้นก็จะยังคงอยู่
เพราะตอนที่คั่วนั้นไม่ได้ใช้เวลานานเท่ากับกาแฟคั่วเข้มที่โดนความร้อนนานจนก่อให้เกิดสารระเหยค่อนข้างเยอะ และการดื่มกาแฟดำในรูปแบบของกาแฟดริป หรืออเมริกาโนแบบไม่ใส่น้ำตาลวันละ 1-2 แก้ว ไม่ได้ทำให้สบายตัวและไม่เหนื่อยล้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำให้มีรูปร่างและสุขภาพของเราดีอีกด้วย
ความแตกต่างของกาแฟธรรมดาและกาแฟดริป
รสชาติ
ถ้าพูดถึงความแตกต่างในเรื่องของรสชาติโดยเทียบกับกาแฟที่สกัดผ่านเครื่องชง Espresso Machine กาแฟดริปนั้นจะถูกเปรียบเทียบกับ Americano, Long Black, Lungo หรือกาแฟดำจากเครื่องชงกาแฟสด และความแตกต่างก็คือถ้าหากใช้กาแฟตัวเดียวกัน กาแฟที่ผ่านการสกัดจากเครื่องชงกาแฟที่ผ่านแรงดันสูงนั้นจะสกัดน้ำมันออกมามากกว่า ส่งผลให้มีรสชาติที่เข้มข้น Body หนักแน่นกว่า ซึ่งจะมีรสชาติติดขมหรือบางทีมีรสฝาดโดดขึ้นมาบ้าง แต่กาแฟดริปนั้นจะมีรสชาติที่นุ่มนวลกว่า Body อยู่ในระดับกลาง ๆ และมีกลิ่นผลไม้ที่เด่นชัดมากกว่าด้วย เพราะน้ำมันน้อยกว่านั่นเอง ด้วยการสกัดผ่าน Filter และไม่ได้ใช้แรงดันสูงจึงทำให้รสชาติที่ได้มีความแตกต่างกัน
ถ้าหากใช้กาแฟตัวเดียวกันสิ่งที่แตกต่างกัน ได้แก่
1.ความเข้มข้น
ความเข้มข้นจะส่งผลต่อรสสัมผัส ซึ่งกาแฟดริปนั้นจะมีความเข้มข้นใกล้เคียงกับ Americano หรือ Long Black (กาแฟดำที่สกัดผ่านเครื่อง Espresso) แต่กาแฟดริปจะมีความเข้มข้นน้อยกว่าโดยปกติอยู่ที่ 1.15-1.55 % TDS ส่วน Americano จะอยู่ที่ 4% TDS จึงทำให้ได้รสชาติที่กว้างมากขึ้นในกาแฟดริป และการสกัดจากเครื่องนั้นจะได้ความหนักแน่นมากกว่า
2.น้ำมันจากกาแฟ
น้ำมันจากกาแฟจะส่งผลต่อกลิ่น การสกัดแบบดริปนั้นจะเป็นการสกัดผ่านตัวกรองกระดาษทำให้มีน้ำมันออกมาน้อย ซึ่งจะได้กลิ่นและรสชาติมากกว่ากาแฟดำที่สกัดผ่านเครื่อง ดังนั้นกาแฟที่สกัดผ่านเครื่อง Espresso นั้นจะได้เนื้อสัมผัสที่ดี แต่กาแฟดริปจะได้ความหลากหลายของรสชาตินั่นเอง
ปริมาณของคาเฟอีน
กาแฟดริปนั้นมีรสชาติที่เบากว่ากาแฟทั่วไป แต่ปริมาณของคาเฟอีนก็ไม่แพ้กาแฟที่สกัดผ่านเครื่อง Espresso เพราะปริมาณของคาเฟอีนนั้นจะขึ้นอยู่กับปริมาณของกาแฟที่นำมาใช้ โดยทั่วไปแล้วกาแฟดริปจะใช้อยู่ที่ 15-20 กรัม ซึ่งจะใกล้เคียงกับปริมาณของกาแฟที่ใช้สกัดผ่านเครื่อง Espresso สำหรับ 2 ช็อต จะอยู่ที่ 16-20 กรัม
เทคนิคการชงกาแฟดริป
การชงกาแฟแบบดริปนั้นถือว่าเป็นการชงกาแฟที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยการชงกาแฟแบบดริปให้ออกมามีรสชาติที่อร่อยกลมกล่อมนั้นจะต้องใช้เทคนิคหลายอย่าง ตั้งแต่เริ่มต้นคัดสรรคุณภาพของเมล็ดกาแฟที่จำเป็นต้องผ่านกระบวนการคั่วแบบสดใหม่ ไม่มีกลิ่นหืน ผ่านขั้นตอนการจัดเก็บอย่างถูกวิธีในภาชนะหีบห่อที่ปิดไว้สนิทไม่ให้อากาศและความชื้นเข้าไปสัมผัสกับเมล็ดกาแฟเพราะจะส่งผลให้รสชาติของกาแฟนั้นเพี้ยนได้
การบดกาแฟเพื่อใช้ในการชงกาแฟดริปควรเป็นกาแฟที่ผ่านการบดแบบปานกลางเพราะจะทำให้ได้กาแฟดริปที่มีรสชาติกลมกล่อมมากที่สุดและเทคนิคที่ห้ามลืมสำหรับการชงกาแฟด้วยวิธีการนี้ก็คือการแช่ผงกาแฟก่อนดริป เพราะวิธีการนี้จะช่วยทำให้กาแฟนั้นมีความเข้มข้นมากขึ้นนั่นเองการชงกาแฟแบบดริปต้องใช้เวลาและความพิถีพิถันเป็นพิเศษ
นอกจากเทคนิคที่กล่าวมาแล้วจะต้องพิถีพิถันในเรื่องอื่น ๆ ด้วย เช่น ปริมาณของกาแฟที่ใช้อุณหภูมิน้ำร้อน โดยต้องมีอุณหภูมิประมาณ 95 องศาเซลเซียส จึงจะเหมาะกับการชงกาแฟแบบดริปเพราะถ้าใช้น้ำที่มีอุณหภูมิสูงกว่านี้จะส่งผลให้กาแฟที่ชงนั้นมีรสขมและไม่มีกลิ่นหอม ดังนั้นอุณหภูมิที่เหมาะสมมากที่สุดก็คือ95องศาเซลเซียสนอกจากนี้ยังต้องให้ความสำคัญกับเรื่องตำแหน่งของการหยด ความเร็วของการรินน้ำร้อน และระยะเวลาที่น้ำร้อนสัมผัสกับผงกาแฟด้วย
อุปกรณ์สำหรับการดริปกาแฟ
1.ดริปเปอร์ Dripper
2.โถรองดริป Server
3.กาดริป Drip kettle
4.เครื่องบดเมล็ดกาแฟ Coffe Grinder
5.เครื่องชั่งกาแฟ Digital Scale
6.กระดาษกรอง Paper Filter
7.ฐานรองดริป Drip Stand
วิธีการทำกาแฟดริป
- ขั้นตอนแรกวางอุปกรณ์เรียงตามลำดับ ตั้งแต่เครื่องชั่ง โถรองดริป ดริปเปอร์ ไปจนถึงกระดาษกรอง (กางออก) โดยใช้สูตรอัตราส่วนกาแฟต่อน้ำ 1:15 กรัม หรือ 1:16 กรัม
- ต้มน้ำให้ได้อุณหภูมิ 92-95 องศาเซลเซียส
- ทำให้กระดาษกรองติดกับดริปเปอร์โดยเทน้ำใส่กระดาษกรองให้ชุ่มรอบ ๆ จากนั้นนำน้ำจากโถรองดริปไปเททิ้ง
- บดเมล็ดกาแฟ 30 กรัม ระดับการบดน้ำตาลทราย (ในที่นี้ต้องการทำกาแฟ 3 Cup)
- นำเมล็ดกาแฟที่บดใส่ลงไปในดริปเปอร์ที่มีกระดาษกรอง
- ตั้งค่าเครื่องชั่งให้น้ำหนักเป็น 0 กรัม เพื่อจะทำการชั่งน้ำหนักของน้ำระหว่างเทต่อไป
- เทน้ำร้อนลงบนกาแฟ โดยให้น้ำหนักขึ้น 60 กรัม จากนั้นให้หยุดเททันที และรอ 30 วินาที
- เพื่อให้ผงกาแฟเริ่มปล่อยแก๊ส co2 (ทุกครั้งที่เทพยายามเทให้โดนทั่ว ๆ ผงกาแฟ โดยการลากจากตรงกลางหมุนเป็นวงกลมแบบก้นหอย)
- เมื่อครบ 30 วินาที ให้เทดริปแบบเดิมลงไป จนน้ำหนักขึ้นเป็น 210 กรัม จากนั้นรออีก 30 วินาที
- เมื่อครบ 30 วินาที ให้เทดริปแบบเดิมลงไป จนน้ำหนักขึ้นเป็น 360 กรัม แล้วรออีก 30 วินาที
- เมื่อครบ 30 วินาที ให้เทดริปแบบเดิมลงไป จนน้ำหนักขึ้นเป็น 500 กรัม และรอให้น้ำไหลจนหมด
- นำดริปเปอร์ไปทำความสะอาด และนำกระดาษกรองไปทิ้ง
- เสร็จแล้วนำโถรองดริป (Server) เทใส่แก้ว พร้อมดื่ม
ข้อดีของการทำกาแฟดริป
- การทำกาแฟดริปจะได้กาแฟที่มีความสดใหม่และเข้มข้น โดยที่ไม่ผ่านกระบวนการอะไรมากมาย จึงทำให้ได้รสชาติของกาแฟจากเมล็ดโดยตรง ซึ่งรสชาติก็จะมีความเป็นเอกลักษณ์ที่แตกต่างออกไปจากการทำกาแฟแบบอื่น และยังดีต่อสุขภาพอีกด้วย
- การทำกาแฟดริปสามารถควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างได้ตามใจต้องการ ไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิของน้ำ รสชาติ และความเข้มของกาแฟ
- ตัวกรองในการทำดริปกาแฟนั้นจะช่วยลด ตะกอนของกาแฟ น้ำมัน และกรดไขมันให้น้อยลงได้ ส่งผลให้ได้รสชาติของกาแฟที่ดีขึ้น
- เหยือกที่ใช้ในการทำกาแฟดริปนั้นส่วนใหญ่ทำมาจากแก้ว จึงทำให้ไม่เสี่ยงต่อการรับสารเคมีต่าง ๆ เหมือนกับพลาสติก ดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องของความปลอดภัย
ข้อแนะนำสำหรับการดื่มกาแฟดริป
กาแฟดริปที่ผ่านกระบวนการชงจะได้ออกมาเป็นกาแฟดำ ซึ่งสามารถดื่มได้เลย ไม่ต้องเติมส่วนผสมใด ๆ ลงไป โดยจะมีประโยชน์อยู่หลายอย่างและเหมาะกับผู้ที่กำลังรักษารูปร่างและผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก เนื่องจากกาแฟดริปนั้นสามารถดื่มได้โดยที่ไม่ต้องเติมส่วนผสมของน้ำตาลและนม ซึ่งจัดอยู่ในกาแฟประเภทอื่น จึงทำให้สามารถดื่มได้ทุกวัน และมีปริมาณของคาเฟอีนที่อยู่ในระดับปานกลาง พอเหมาะ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานและเพิ่มเมตาบอลิซึมให้กับร่างกาย แต่จะไม่ทำให้ใจสั่น