สนสองใบ เป็นพันธุ์ไม้ที่พบได้ตามเขตอากาศหนาวของไทย บนดอยสูง หรือที่ราบที่ค่อนมีสภาพอาการเย็นและแห้งแล้ง ซึ่งในอดีตต้นสนถือว่าเป็นสินค้าที่มีความสำคัญสำหรับชาวบ้านเป็นอย่างมาก แต่ทำไมมันถึงสำคัญ แล้วมันมีประโยชน์อย่างไรบ้างในเชิงเศรษฐกิจในปัจุบัน วันนี้ kaset.today จะพาทุกคนไปรู้จักสนสองใบ และเกร็ดความรู้พื้นบ้านที่เด็กรุ่นใหม่ไม่เคยรู้หรือลองทำอย่างแน่นอน
ข้อมูลทั่วไปของสนสองใบ
ชื่อภาษาไทย : สนสองใบ
ชื่อภาษาอังกฤษ : Merkus pine
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Pinus merkusii Jungh. & de Vriese, (P. merkusii Jungh. et de Vriese)
วงศ์ : Pinaceae
ความเชื่อในการปลูกต้นสนสองใบ
“ต้นสน” เป็นต้นไม้ที่สามารถเจริญเติบโตในสภาพอากาศหนาวและแห้งแล้ง นั้นทำให้ต้นสนจึงเป็นต้นไม้ที่มีความอดทน แข็งแรง และด้วยที่มีลำต้นที่สูงตรง สามารถมีอายุได้หลายร้อยปี ทำให้ใครที่ซื้อต้นต้นสนไปปลูกจะมีความกล้าหาญ อดทน เป็นคนที่มีความสง่างาม และยังเสริมในด้านอายุมั่นขวันยืนอีกด้วย ทำอะไรก็จะรู้จักอดทนและจะได้รับชัยนะในที่สุด และความเชื่อนี้ไม่ได้ใช้ได้แค่กับต้นสนสองใบ แต่กับสนทุกชนิดเลย
ลักษณะต้นสนสองใบ
- ลักษณะของลำต้น
ต้นสนสองใบเป็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่และความสูงโดยสามารถสูงได้ถึง 45 เมตรเลยทีเดียวและลักษณะทั่วไปที่สามารถสังเกตได้ว่านี่คือต้นสนสองใบ
- ลำต้น
เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ สูงถึง 30 เมตร ไม่ผลัดใบ เรือนยอดรูปกรวย หรือกลม กิ่งมักคดงอ เป็นข้อศอก
- เนื้อไม้สนสองใบ
สนสองใบมีเนื้อไม้สีเหลืองปนนํ้าตาลอ่อน มีลวดลายสีนํ้าตาลเป็นเส้นสวยงามเนื้อละเอียด เสี้ยนตรง มีเส้นใย (fiber) ยาว เนื้อไม้มีความหนาแน่นปานกลาง มีนํ้ายาง (resin) มาก
- ใบ
ใบมีลักษณะเป็นใบเรียว แข็งออกและจะออกเป็น กระจุก หนึ่งกระจุกจะมีสองใบสองใบจึงเป็นเหตุผลที่เรียกว่าสนสองใบและติด เป็นกลุ่มตามปลายกิ่ง ใบมีความยาว 15-20 ซม. โคนรูปไข่ถึงรูปทรงกระบอก สีน้ำตาลแดง ขนาดเล็กกว่าสนสามใบ มีก้านยาวประมาณ 1 เซนติเมตร
- ดอก
ดอกแยกเพศอยู่ต่างช่อในต้นเดียวกันรูปไข่ช่อดอกออกเดี่ยวๆ หรือเป็นคู่ รูปรี ยาว 1-2 ซม.เกล็ดแห้ง สีน้ำตาลเข้ม
- ผล
สำหรับผลของสนสองใบนั้นจะเรียกว่าโคน (cone) จะมีลักษณะเป็นรูปกรวยยาวมีและเกล็ด (scale) หุ้มอยู่โดยรอบขนาดของโคนจะมีความยาวประมาณ 10 – 12 เซนติเมตร กว้าง 5 – 6 เซนติเมตร โคนของสนสองใบเมื่อแก่จัดมีสีเขียวปนน้ำตาล และเมื่อสภาวะ ภูมิอากาศพอเหมาะเกล็ดจะเปิดออกให้เมล็ดซึ่งมีปีกติดอยูหลุดปลิวออกมา ช่วงที่ดอกจะออกจะเป็น พฤศจิกายน –ธันวาคม ผลแก่ เมษายน – มิถุนายน
- เมล็ด
มีครีบสีขาวบางเป็นปีกอยู่ที่ตอนปลายเมล็ดเป็นรูปไข่เรียว
สายพันธุ์
สายพันธุ์
สนสองใบนั้นสามารถแยกออกได้เป็น 2 สายพันธุ์กว้าง ๆ คือสายพันธุ์
- Insular ซึ่งพบขึ้นตามหมู่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย
- สายพันธุ์ Continental ซึ่งพบขึ้นบนแผ่นดินใหญ่ในทวีปเอเซีย
การขยายพันธุ์
การเพาะขยายพันธุ์ สนสองใบ จะทำด้วยการ “เพาะเมล็ด” ได้โดยการเพาะเมล็ดส่วนใหญ่ เป็นดินร่วนเหนียวปนทราย หรือเป็นดินทราย มีการระบายนํ้าดีชอบแสงแดดตลอดวัน และอากาศเย็น แต่ก็มีบางชนิดที่ชอบแสงแดดรำไร แสงแดดครึ่งวันหรือทนอากาศร้อนได้ดี สนหลายๆ ชนิดโตช้า ทำให้การดูแลรักษาไม่ยากดินตื้น แต่จะไม่สามารถขึ้นแข่งกับไม้ชนิดอื่นได้โดยเฉพาะพวกไม้ใบกว้าง
ประโยชน์สนสองใบ
เนื้อไม้
- สำหรับเนื้อไม้ของสนสองใบนั้นด้านในมีลวดลายที่สวยงามเป็นลายที่เกิดจากวงรอบปีและท่อน้ำมัน แก่น มักเป็นสีน้ำตาลอมชมพู ใช้ตกแต่งและขัดเงาได้ดี ในต่างประเทศนิยมใช้เนื้อไม้สนโดยกว้างขวาง เช่น ใช้ในการก่อสร้างภายในร่ม ทำเครื่องเรือน นำเนื้อไม้ไปใช้เป็นเยื่อกระดาษ ไม้อัด และเฟอร์นิเจอร์ ภาชนะบรรจุสินค้าต่างๆ เพราะมีน้ำหนักเบา ราคาถูก และมีความคงทนพอสมควร
- ใช้ทำเยื่อกระดาษกันเป็นส่วนมาก
- เนื้อไม้ใช้ทำเชื้อสำหรับจุดไฟให้ความสว่างยามค่ำคืนหรือ
- กิ่งก้านใช้ทำฟืนจุดไฟในการหุงต้ม
- เนื้อไม้มีขายทั่วไปตามท้องตลาดในภาคเหนือของไทยเพื่อใช้เป็นเชื้อจุดไฟ กิ่งก้านใช้ทำฟืน
- ลำต้นใช้สำหรับก่อสร้างภายใน เช่น พื้นกระดาน เครื่องเรือน โต๊ะ เป็นต้น
สรรพคุณสนสองใบ
- กระพี้ของลำต้นนำมาต้มน้ำดื่มแก้ไข้สันนิบาต ใช้แก่นต้มหรือฝนกับน้ำรับประทานเป็นยากระจายลม บำรุงกระดูก ไขข้อ ระงับประสาท แก้ฟุ้งซ่าน อ่อนเพลีย เป็นไข้มีเสมหะ คลื่นไส้อาเจียนและอาการท้องเดิน
- ชาวไทยใหญ่ และจีนฮ่อใช้กิ่ง ใบ และดอก ลนไฟให้เกิดไอสำหรับสูดดมแก้โรคปอดบวม และปอดอักเสบ
- น้ำมันใช้ทาภายนอกแก้เคล็ดขัดยอก อักเสบบวม หยดในน้ำร้อนประคบแก้ท้องบวม แก้มดลูก และลำไส้อักเสบ
- ยางสนหรือชันจากลำต้นใช้เป็นยาสมานแผล ผสมยาทาถูนวดแก้ปวดเมื่อย แก้โรคบิด
- ใบและเปลือกใช้ต้มกับน้ำเป็นยาแก้ผดผื่นคัดตามผิวหนัง
ถิ่นกำเนิด และการแพร่กระจาย
ไม้สนสองใบเป็นไม้สนเขาที่มีแหล่งกำเนิด และพบได้ทั่วไปในแถบกลุ่มประเทศเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ ประเทศพม่า ไทย ลาว เขมร เวียดนาม เกาะแซมเบลเลส เกาะมินโดโร ประเทศฟิลิปปินส์ และหมู่เกาะสุมาตราในประเทศอินโดนีเซีย ในประเทศไทยการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติของไม้สนสองใบ มีอยู่ในพื้นที่ที่เป็นภูเขาสูง มีความสูงจากระดับน้ำทะเล 700-1000 เมตร โดยมีอยู่มากทางภาคเหนือ และมีอยู่บ้างทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สำหรับภาคกลางมีลงมาถึงจังหวัดเพชรบุรี
และจากรายงานในบทวิจัยการจัดการเมล็ดไม้สนโดยกล่าวว่า สนสองใบมีการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติอย่างกว้างขวางตามเส้นรุ้งที่ 23°00″N – 2°06″S และเส้นแวงที 95°30″E – 121°30″E ระดับความสูงตังแต่ 30 เมตรจนถึง 2,000 เมตร (Bryndum, 1970; Dallimore and Jackson, 1966; Mirov, 1967; Troup, 1921) สนสองใบ ที่ พบตามธรรมชาติในประเทศไทยมีทั้งขึ้นอยู่ในระดับตํ่า (lowland) ไปจนถึงพืนทีระดับสูง (highland) ดังนี้
- ด้านทิศตะวันตกของจังหวัดเชียงใหม่ไปจนถึงเขตติดต่อพรมแดนพม่าสูงจาก
ระดับนํ้าทะเล 700 – 1,000 เมตร - บริเวณระหว่างอําเภอเมืองและอําเภอแม่สอด จังหวัดตาก ท้องที่หมู่บ้านห้วยยะอุ
- แถบจังหวัดกาญจนบุรี ติดต่อกับเทือกเขาตะนาวศรี และทางทิศตะวันตกของ
จังหวัดเพชรบุรี สุพรรณบุรี - เขตติดต่อระหว่างภาคเหนือและภาคกลาง จะพบสนสองใบระหว่างจังหวัด
พิษณุโลกบริเวณทุ่งแสลงหลวง จังหวัดเพชรบูรณ์บริเวณนําหนาว (สูงจากระดับนําทะเล 760 เมตร) และที่ภูกระดึง จังหวัดเลย (สูงจากระดับนํ้าทะเล 1,500 เมตร) - ด้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นทีราบสูงโคราช จะพบสนสองใบที่จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี มีความสูงจากระดับนํ้าทะเลระหว่าง 150 – 200 เมตร การขึ้นอยู่ของไม้สนสองใบ อาจขึ้นเป็นกลุ่มสนสองใบล้วน ๆ หรือปะปนอยู่กับไม้สนสามใบหรือไม้ใบกว้างอืน ๆ โดยแยกลักษณะเป็นสภาพป่าดังนี้
ป่าผสมสนสองใบ – ป่าเต็งรัง บนทีสูงระหว่าง 700 – 1,000 เมตร จะพบป่าชนิดนี้ทางตะวันตกของเชียงใหม่ติดต่อกับพม่า ทีอําเภอแม่สอด จังหวัดตาก และบางส่วนของจังหวัดเพชรบูรณ์ ซึ่งมีไม้สนสองใบขึ้นอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ หรืออยู่โดดเดียวท่ามกลางไม้ใบกว้างชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะไม้เหียงและไม้พลวง ป่าชนิดนี้จะเกิดไฟไหม้บ่อย ๆ แทบทุกปี ในฤดูร้อนจนทําให้การสืบพันธุ์ตามธรรมชาติเป็นไปได้น้อย ดินส่วนใหญ่เป็นพวก podzolic soils มีความอุดมสมบูรณ์ตํ่า มีกรวดลูกรังมาก
ป่าผสมสนสองใบ – ไม้ใบกว้างอื่น ๆ ในพื้นที่ระดับต่ำ พบไม้สนสองใบขึ้นอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ หรือขึ้นอยู่โดดเดียวท่ามกลางไม้ใบกว้างชนิดอื่น ๆ เช่น ไม้เต็ง รัง กราด พลวงบนพื้นทีระดับตํ่าระหว่าง 100 – 200 เมตรจากระดับนําทะเลปานกลาง เช่น แถบจังหวัดศรีสะเกษสุรินทร์ และอุบลราชธานี ดินเป็นพวก sandy loam, podzolic soils มีความอุดมสมบูรณ์ปานกลางพื้นที่บางแห่งมีน้ำขังหรือมีน้ำท่วมเป็นครังคราวได้
ป่าสนสองใบทีราบสูงโคราช ซึ่งเป็นหินทราย เช่น ภูกระดึง จังหวัดเลย พบ สนสองใบอยู่เป็น กลุ่มใหญ่ล้วน ๆ พื้นล่างเป็นหญ้าคาทําให้เกิดไฟไหม้ป่าได้บ่อย ในป่าชนิดนี้จะพบไม้ก่อพวก Castanopsis spp. ขึ้นอยู่กระจัดกระจาย ดินเป็นพวก podzolic soils เช่นเดียวกันกําเนิดมาจากหินทรายแต่เป็นกรดจัดความอุดมสมบูรณ์ค่อนข้างต่ำ แต่ปริมาณความชื้นค่อนข้างสูง
สำหรับราคาขายและแหล่งขายสำหรับสนสองใบ
แหล่งขายสำหรับไม้ล้อม อย่างต้นสนสองใบ หรือสนชนิดอื่นๆ สวนส่วนใหญ่ที่ส่งขายต้นไม้เหล่านี้มักจะอยู่แถบ จังหวัดเพชรบูรณ์ เชียงใหม่ ชัยนาท ฉะเชิงเทรา หรือเป็น จังหวัดแถวภาคเหนือ
ขนาดของต้นเริ่มต้นที่ 10-15 เซนติเมตร ราคาที่ 99 ไปจนถึง199 บาท ตามขนาด ส่วนต้นใหญ่จะมีราคาหลักพันธุ์ ส่วนวิธีการส่งส่วนใหญ่ไม้ล้อมจะส่งเป็นรอบโดยใช้รถกระบะหรือรถบรรทุกขนาดใหญ่ โดยมีค่าส่งต่อรอบ 3,500 บาท ถึง 6,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะทางและเกณฑ์ราคาที่ร้านแต่ละร้านตั้งด้วย
ไม้เกี๊ยะ ภูมิปัญญาจากชาวดอย
ไม้เกี๊ยะที่เรากำลังพูดถึงคือ ส่วนของเนื้อไม้ด้านในของต้นสนสองใบ หรือสนภูเขา ที่ชาวดอยหรือคนภาคเหนือที่อาศัยในบริเวณที่มีต้นสนขึ้นกระจายอยู่มักจะนำเอาไม้เกี๊ยะมาเป็นเชื้อเพลิงในการหุงหาอาหาร แต่ไม้ที่นำมาใช้มันไม่ได้เป็นเพียงแค่เนื้อไม้สนธรรมดา แต่จะต้องผ่านกระบวนการบางอย่าง และนั้นคืออะไรเราไปอ่านกันเลย
ขั้นตอนการทำไม้เกี๊ยะ
- ถากเอาเปลือกไม้สนออกมาก่อน
- นำไฟไปเผาใกล้บริเวณเนื้อไม้
- จากจากเผาเสร็จ น้ำยางที่ยาวจะไหลออกมาจากเนื้อไม้ ชโลมจนเนื้อไม้มีความเงาวาว
- ไม้สนที่ผ่านการกระบวนการมาแล้ว และพร้อมใช้งาน
- ยางไม้ที่แห้งและแข็ง และหากมีอายุหลายพันปีเราจะเรียกว่า “อำพัน”
ใครอ่านถึงตรงนี้มีใครอยากลองปลูกต้นสนสองใบยัง มันไม่ได้ยากเลยใช่ไหม และเรายังได้รู้ส่วนประกอบ และวิธีปลูกรวมถึงการขยายพันธุ์ต้นสนสองใบ แถมเรายังมีเกร็ดความรู้พื้นบ้านสำหรับการทำไม้เกี๊ยะอีกด้วย และ kaset.today ยังมีบทความเกี่ยวกับ พันธุ์ไม้ พันธุ์พืช สมุนไพร ผักสวนครัว และ ปศุสัตว์ ที่มีสาระดีๆที่จะทำให้คุณได้นำความรู้เหล่านั้นไปช่วยในการตัดสินใจในการทำธุรกิจ หรือการสั้งซื้อของทางเกษตรได้อย่างถูกต้องและคุ้มค่า
แหล่งอ้างอิง