หมู เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีการเลี้ยงกันมาอย่างยาวนาน ซึ่งประเทศแรก ๆ ที่มีการนำหมูมาเลี้ยงนั่นก็คือประเทศจีน โดยประเทศไทยก็ได้รับวัฒนธรรมการกินหมูและการเลี้ยงหมูผ่านประเทศจีนมาไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นคนไทยสมัยก่อนก็เลี้ยงหมูกันแค่ในครัวเรือนภายในพื้นที่ลานบ้านหรือใต้ถุนบ้านในรูปแบบที่ง่าย ๆ ให้เศษอาหารเหลือกับหมูเป็นหลัก ซึ่งการเลี้ยงหมูในครัวเรือนแบบนี้จะไม่สามารถเลี้ยงได้เป็นจำนวนมากแตกต่างจากการเลี้ยงแบบคอก เพราะในอดีตไม่ได้มีการเลี้ยงหมูเป็นอาชีพหลัก ผู้เลี้ยงหมูส่วนมากจึงมักจะประกอบอาชีพอื่นไปด้วย อาทิ การทำไร่ ทำสวน ทำนาหรือเปิดโรงสีข้าวด้วย การเลี้ยงหมูในสมัยก่อนจึงมักจะเป็นชาวจีนหรือชาวไทยเชื้อสายจีนที่เลี้ยงเป็นหลัก
หลายปีที่ผ่านมาการเลี้ยงหมูถือได้ว่ามีความก้าวหน้าขึ้น ด้วยความที่คนไทยนิยมบริโภคเนื้อหมูกันเป็นจำนวนมากและเป็นวัตถุดิบหลักในอาหารหลาย ๆ อย่าง ทำให้กรมปศุสัตว์และหน่วยงานต่าง ๆ มีความพยายามที่จะทำการศึกษาสายพันธุ์หมู พร้อมทั้งเริ่มปรับปรุงสายพันธุ์ของหมูให้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ง่าย ทนทานต่อสภาพอากาศ แข็งแรงและให้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี ทำให้ในปัจจุบันรูปแบบของการเลี้ยงหมูได้กลายมาเป็นหนึ่งในอาชีพหลักของเกษตรกรชาวไทย โดยจะมีทั้งในรูปแบบของการทำปศุสัตว์รายย่อยและรายใหญ่
ถ้าเราพิจารณาจากความต้องการบริโภคหมูของคนไทยในปัจจุบันตามข้อมูลของทางสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติก็จะพบว่าความต้องการบริโภคเนื้อหมูของคนไทยตั้งแต่ปี 2559 – 2563 เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 0.66 ต่อปี ทำให้คนไทยต้องเร่งผลิตหมูให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งนอกเหนือจากการผลิตหมูเพื่อส่งออกในตลาดของไทยแล้วความต้องการบริโภคหมูในต่างประเทศก็มีมากขึ้นเช่น แต่ด้วยหลายปีที่ผ่านมาหลายประเทศใหญ่ ๆ ยังเผชิญปัญหาของโรค ASF ในหมูทำให้ปริมาณการบริโภคหมูในประเทศนั้นลดลง ในขณะที่ประเทศไทยยังมีอัตราการส่งออกหมูที่คงที่อยู่ที่ร้อยละ 15.25 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด ซึ่งเป็นการส่งออกทั้งในรูปแบบเนื้อหมูและเนื้อหมูแปรรูปไปยังประเทศฮ่องกง สปป.ลาว เมียนมา กัมพูชา ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ซึ่งเป็นผลมาจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการเลี้ยงหมูของไทยได้มีการพัฒนาไปมาก มีเทคโนโลยีมีความเจริญก้าวหน้ามากขึ้น มีการนำหมูพันธุ์จากต่างประเทศมาปรับปรุงพันธุ์ให้เลี้ยงดูง่ายและโตเร็ว คิดค้นอาหารและวัคซีนรักษาโรคของหมู ทำให้ปริมาณการผลิตหมูของไทยมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนทัดเทียมกับต่างประเทศในภูมิภาคเดียวกันได้
ยิ่งในช่วงตลอด 2 ปีที่ผ่านมาทางสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้เข้ามาช่วยสนับสนุนและแก้ปัญหาเรื่องโรค ASF ในหมูที่ระบาดจนทำให้ประเทศไทยยังคงสถานะปลอดการระบาดในหมู ซึ่งก็ส่งผลให้ไทยสามารถสร้างมูลค่าจากการส่งออกหมูแบบก้าวกระโดด ดังนั้น การเลี้ยงหมูจึงเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่อยากจะให้เกษตรกรทุกคนลองหันมาศึกษากันดูอย่างจริงจัง เพราะหากเทียบกับการเลี้ยงสัตว์อื่น ๆ หมูก็ถือว่าเป็นสัตว์ที่น่าเลี้ยงไม่น้อยเลยทีเดียว ให้ผลผลิตที่ได้คุณภาพ ราคาตามท้องตลาดค่อนข้างดี สามารถเลี้ยงและส่งขายได้ภายใน 5 – 6 เดือนและมีโอกาสเติบโตในอนาคต เพราะฉะนั้นวันนี้ทาง Kaset today จึงอยากจะมามอบข้อมูลดี ๆ เกี่ยวกับการเลี้ยงหมูและช่องทางในการหารายได้จากการเลี้ยงหมู เพื่อให้ทุกคนได้ลองไปศึกษาก่อนที่จะเลือกประกอบอาชีพเลี้ยงหมูกันอย่างจริงจังดู
ข้อมูลทั่วไปของหมู
ชื่อภาษาไทย: หมูหรือสุกร
ชื่อภาษาอังกฤษ: Pig
ชื่อทางวิทยาศาสตร์: Sus scrofa domesticus
ตระกูลสัตว์: Suidae
ลักษณะโดยทั่วไปของหมู
หมูบ้านที่นิยมเลี้ยงกันทั่วไปมีบรรพบุรุษซึ่งเป็นหมูป่า แต่ปัจจุบันได้ถูกแยกสปีชีส์ออกจากกัน พัฒนาการการเจริญเติบโตของหมูนั้นเริ่มจากการเจริญเติบโตของกระดูก ซึ่งมีน้ำหนักประมาณ 15-30 กิโลกรัม จากนั้นจึงค่อยพัฒนาการด้านกล้ามเนื้อซึ่งจะเพิ่มขึ้นมากในช่วงที่หมูมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 30-60 กิโลกรัม หรือในช่วงอายุ 13-18 สัปดาห์ และเมื่อหมูมีน้ำหนักได้ประมาณ 60 กิโลกรัมแล้ว การเจริยเติบโตของกล้ามเนื้อจะลดลงแต่จะมีการสะสมของไขมันเพิ่มขึ้นแทน
ลักษณะโดยทั่วไปของหมูจะมีความยาวตั้งแต่หัว ลำตัว จรดหางอยู่ที่ประมาณ 0.9-1.8 เมตร หนักประมาณ 50-350 กิโลกรัมเมื่อโตเต็มวัย เท้ามีลักษณะเป็นกีบคู่ ตัวอ้วน จมูกและปากยื่นยาว แต่สำหรับพ่อพันธุ์แม่พันธุ์หมูที่ดีนั้น ควรมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
การจำแนกสายพันธุ์หมูตามผลผลิตที่ได้
หลังจากที่ได้รู้แล้วว่าหมูโดยทั่ว ๆ ไปมีลักษณะอย่างไร และพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ที่ดีควรมีลักษณะอย่างไร ทีนี้ก็ถึงเวลาการจำแนกสายพันธุ์ของหมู ว่าหมูที่แตกต่างพันธุ์กันจะมีลักษณะเฉพาะอะไรบ้าง
การแบ่งประเภทของหมูตามผลผลิต
ประเภทพันธุ์มัน (Lard Type): มีลักษณะตัวสั้น อ้วนกลม มีมันมาก สะโพกเล็ก และค่อนข้างโตช้า หมูสายพันธุ์นี้ในสมัยก่อนนิยมเลี้ยงไว้ทำอาหาร แต่ปัจจุบันน้ำมันพืชเป็นที่นิยมมากกว่า ทำให้ความนิยมในการใช้น้ำมันหมูน้อยลง ตัวอย่างหมูสายพันธุ์นี้ เช่น พันธุ์ไหหลํา พันธุ์เหมยซาน พันธุ์ควาย พันธุ์พวง และพันธุ์ราด เป็นต้น
ประเภทพันธุ์เนื้อ (Meat Type): รูปร่างจะค่อนข้างสั้น แต่ไหล่และสะโพกใหญ่ ลำตัวดูหนาและลึก หมูพันธุ์นี้ถูกนำมาปรับสายพันธุ์ให้มีเนื้อแดงมากขึ้นและไขมันน้อยลง เหมาะกับการนำเนื้อมาประกอบอาหาร ตัวอย่างหมูพันธุ์เนื้อ เช่น พันธุ์ดูรอค พันธุ์แฮมเชียร์ และพันธุ์เบอร์กเชียร์ เป็นต้น
ประเภทพันธุ์เบคอน (Bacon Type): รูปร่างใหญ่ ตัวยาว เนื้อมาก แต่ไขมันน้อย ความหนาและความลึกของลำตัวน้อยกว่าหมูพันธุ์มัน หมูสายพันธุ์นี้โตเป็นหนุ่มเป็นสาวช้า มีเนื้อสามชั้น เหมาะกับการทำหมูเค็ม หรือที่ชาวต่างชาติมักเรียกว่าเบคอนนั่นเอง ตัวอย่างหมูสายพันธุ์เบคอน เช่น พันธุ์แลนด์เรซ พันธุ์ลาร์จไวท์ พันธุ์แทมเวิร์ท เป็นต้น
สายพันธุ์หมูที่นิยมเลี้ยงในไทย
หมูที่นิยมเลี้ยงในเมืองไทย ต้องสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศอันร้อนอบอ้าวของไทยได้ดี อีกทั้งยังควรเลี้ยงง่าย ให้ผลผลิตสูง ซึ่งโดยส่วนมากมักจะได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์ในประเทศนั้น ๆ
สายพันธุ์พื้นเมือง
จากการศึกษาในเอกสารของทางกลุุ่มวิจัยความหลากหลายทางชีวภาพ สํานักพัฒนาพันธุ์สัตว์ กรมปศุสัตว์ได้มีการกล่าวถึงหมูสายพันธุ์พื้นเมืองไว้ว่าพบได้ค่อนข้างน้อยในปัจจุบันและพบได้ในบางพื้นที่เท่านั้น หมูพื้นเมืองมักมีขนาดเล็ก โตช้า หนังหนา หลังแอ่น พุงหย่อนและมีสะโพกค่อนข้างเล็ก โดยจะมีอยู่ 4 สายพันธุ์หลัก ๆ ดังนี้
1) พันธุ์ควาย
เป็นหมูพันธุ์ที่สามารถพบได้มากทางภาคเหนือของไทย มีลักษณะขนเป็นสีดำ จมูกชี้ตรงและค่อนข้างสั้น มีรอยย่นบนลำตัวค่อนข้างมาก ใบหูใหญ่ หัวใหญ่ พุงหย่อน หลังแอ่น สะโพกเล็ก ขาและข้อขาอ่อน ตามีขอบสีขาวเป็นวงแหวนรอบดวงตา หมูพันธุ์นี้ข้อดีคือเมื่อโตเต็มวัยจะตัวใหญ่มาก ตัวผู้จะมีน้ำหนักประมาณ 90-120 กิโลกรัส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 85 – 100 กิโลกรัม ข้อเสียของหมูคืออาจจะโตช้าและอ้วนยากจึงต้องอาศัยการขุนอาหารให้มาก ๆ นิยมเลี้ยงไว้เพาะพันธฺุ์ขายหรือส่งออกตามท้องตลาด
2) พันธุ์พวง
สุกรพันธุ์พวงจะพบได้มากทางภาคตะวันออกของไทย ลักษณะเด่นคือจะมีสีดำ ผิวหนังหยาบ ไหล่กว้าง หลังแอ่น สะโพกแคบ ลำตัวเกือบเท่ากับหมุพันธุ์ไหหลำแต่ขนาดตัวตอนโตเต็มที่ได้มากกว่า โดยตัวผู้ที่โตเต็มวัยจะมีน้ำหนักประมาร 90 – 130 กิโลกรัม ส่วนตัวเมียมีน้ำหนัก 90-100 กิโลกรัม หมูพันธุ์นี้เนื้อค่อนข้างมีคุณภาพดีสามารถส่งออกขายได้และถือเป็นที่ต้องการตามท้องตลาด เป็นหมูที่เลี้ยงง่ายเมื่อเทียบกับหมูพันธุ์พื้นบ้านอื่น ๆ
3) พันธุ์ไหหลำ
สุกรพันธ์ไหหลำพบได้มากทางภาคใต้และภาคกลางของประเทศจีน ลักษณะทั่วไปจะมีลำตัวสีดำ ท้องขาว จมูกยาวและแอ่นขึ้นเล็กน้อย คางย้อย ไหล่กว้าง ลำตัวขาวปานกลาง หัวไม่โตจนเกินไป หลังแอ่น สะโพกเล็ก ขาและข้อเท้าอ่อน ขนาดโตเต็มที่ตัวผู้มีน้ำหนัก 115-140 กิโลกรัม ตัวเมียมีน้ำหนัก 90-11 5 กิโลกรัม จุดเด่นของหมูสายพันธุ์นี้คือสามารถเจริญเติบโตได้ดีกว่าหมูพันธุ์พื้นเมืองอื่น ๆ จึงเป็นหมูที่นิยมเลี้ยงไว้เพื่อเพาะพันธุ์หรือส่งไปปรับปรุงสายพันธุ์
4) พันธุ์ราด
สุกรพันธุ์ราดหรือกระโดนเป็นที่นิยมเลี้ยงมากทาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ลักษณะเด่นคือจะมีหัวขนาดเล็กสีดำ ขนาดลำตัวตัวสั้นป้อม กระดูกเล็ก เป็นหมูที่มีความว่องไวปาดเปรียว หาอาหารกินเก่งและมีเนื้อแน่น โดยหมูพันธุ์นี้เมื่อโตเต็มวัยแล้วตัวผู้จะมีน้ำหนัก 100-120 กิโลกรัม ส่วนตัวเมียจะมีน้ำหนัก 90-100 กิโลกรัม ข้อเสียของหมูพันธุ์นี้คือเจริญเติบโตช้ามากจึงไม่เหมาะกับการเลี้ยงส่งออกตลาดที่ผูกขาด คนนิยมเลี้ยงไว้เป็นหมูในครัวเรือนหรือขุนไว้สำหรับส่งออกเพื่อใช้ปรับปรุงสายพันธุ์หมูแทน
สายพันธุ์ต่างประเทศ
อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่าประเทศไทยได้มีความพยายามที่ปรับปรุงสายพันธุ์และพัฒนาให้หมูสามารถเลี้ยงได้ง่าย ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพมากขึ้น สามารถเทียบกับมาตรฐานฟาร์มหมูของต่างประเทศได้จึงต้องนำเข้าหมูสายพันธุ์ต่างประเทศเข้ามาเพื่อศึกษาและปรับปรุงสายพันธุ์ ให้หมูนั้นมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและสภาพอากาศของบ้านเราได้ โดยจากการศึกษาในคู่มือการเลี้ยงหมูของกรมปศุสัตว์ก็ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์หมูที่นำเข้าจากต่างประเทศและเป็นที่นิยมมากไว้ 3 สายพันธุ์หลัก ๆ ดังนี้
1) พันธุ์ลาร์จไวท์
หมูพันธุ์ลาร์จไวท์เป็นหมูที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศอังกฤษเป็นหมูที่จัดอยู่ในกลุ่มของการใช้เนื้อผลิตเบคอน ถูกนำมาเลี้ยงในประเทศไทยตั้งแต่พ.ศ. 2482 เป็นลูกผสมของพันธุ์ยอร์ดเชียร์ (/orkshire) กับพันธุ์แลงเคลเตอร์ (Lechester) และได้ปรับปรุงพันธุ์มาจนกลายเป็นพันธุ์ลาร์จไวห์ ลักษณะเด่นของหมูสายพันธุ์นี้คือจะมีลำตัวสีขาว อาจมีจุดสีดำบ้าง หูตั้ง หัวโตปานกลาง จมูกยาว กระดูกใหญ่ ไหล่หนา ท้องขนานกับพื้นดิน มีมันบาง ๆ ใต้ผิวหนังจะมีขนาดโตเต็มที่ตัวผู้มีน้ำหนัก 320-450 กิโลกรัม ตัวเมียมีน้ำหนัก 230-360 กิโลกรัม ข้อดีของสายพันธุ์นี้คือเป็นหมูที่มีอัตราการเจริญเติบโตรวดเร็ว แข็งแรง ให้ลูกดก เลี้ยงลูกเก่ง คุณภาพซากดี ขาแข็งแรง นิยมใช้เป็นพ่อแม่พันธุ์สำหรับผลิตหมูเพื่อขุน
2) พันธุ์แลนด์เรซ
หมุพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดมาจากประเทศเดนมาร์ก เป็นสายพันธุ์พื้นเมืองของเดนมาร์กที่ถูกนำไปปรับปรุงสายพันธุ์ในหลากหลายประเทศ โดยประเทศไทยมีการนำเข้ามาเลี้ยงตั้งแต่ปีพ.ศ. 2506 ลักษณะประจำพันธุ์คือจะมีสีขาวตลอดลำตัวและอาจมีจุดสีดำบ้าง หูใหญ่ หัวเล็กเรียว ไม่มีรอยย่น จมูกยาว ขาสั้นเตี้ยหมูสายพันธุ์นี้เติบโตเร็ว ให้ลูกดก อีกทั้งยังให้เนื้อมากและมีมันน้อย ความพิเศษของหมูพันธุ์นี้คือจะมีซี่โครงมากกว่าพันธุ์อื่น 1 คู่ อาจมี 16 -17 คู่ ให้ผลผลิตอย่างเนื้อที่ได้มาตรฐานมาก ๆ ส่งออกขายได้ราคาดี
3) พันธุ์ดูร็อค
หมูพันธุ์ดูร็อคมีถิ่นกำเนิดมาจากทางตะวันออกเฉียงเหนือของอเมริกา เดิมทีจะเรียกหมูพันธุ์นี้ว่า เจอร์รี่ (Duroc Jersey) ไม่ทราบต้นตระกูลแน่นอนแต่ได้การรับการรับรองแล้วว่าเป็นพันธุ์แท้ ลักษณะเด่นประจำพันธุ์คือลำตัวมีสีน้ำตาลแดง แต่บางตัวมักมีสีซีดจางเป็นสีเหลืองทอง หัวโตและหน้ายาวปานกลาง หลังโค้งกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ ถ้าให้อาหารปริมาณมากจะอ้วนและตัวใหญ่มาก โดยขนาดตัวเมื่อโตเต็มวัยแล้วตัวผู้มีน้ำหนัก 300 – 450 กิโลกรัม ตัวเมียจะมีน้ำหนัก 270 – 320 กิโลกรัม เป็นหมูที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็ว แข็งแรง สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี นิยมใช้เป็นลายพ่อพันธุ์สำหรับผสมพันธุ์เพื่อเลี้ยงเป็นหมูขุน
วิธีการเลี้ยงหมูได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี
การเลี้ยงหมูกลายเป็นที่นิยมเพราะสามารถเลี้ยงในครัวเรือนเล็ก ๆ จำนวนไม่กี่ตัวก็ได้ อีกทั้งยังเลี้ยงง่าย ใช้พื้นที่น้อย และไม่ต้องใช้แรงงานในการเลี้ยงมากนัก แต่ถ้าหากต้องการจะเลี้ยงหมูในระดับฟาร์มหรือเลี้ยงเพื่อให้ได้ผลผลิตส่งออกที่มีคุณภาพดี เหล่าเกษตรกรอาจต้องศึกษาวิธีการเลี้ยงหมูอย่างถูกต้องหรือเรียนรู้ขั้นตอนต่าง ๆ ต่อไปนี้
1) การคัดเลือกหมูมาผสมพันธุ์
ปัจจัยที่จะทำให้การเลี้ยงหมูประสบความสำเร็จได้หนึ่งในนั้นคือการเลือกสายพันธุ์หมูที่ดี ซึ่งทางกรมปศุสัตว์ก็ได้แนะนำวิธีเลือกลักษณะพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์หมูที่ดีและวิธีการผสมพันธุ์หมูไว้ดังต่อไปนี้
ลักษณะของแม่พันธุ์หมูที่ดี
ลักษณะของแม่พันธุ์หมูที่ดีควรเป็นหมูที่เกิดจากแม่ที่เคยออกลูกดกมาก่อน อีกทั้งยังควรเป็นหมูที่โตเร็วกว่าตัวอื่น ๆ ในคอกเดียวกัน โดยมีน้ำหนักตัวไม่น้อยกว่า 90 กิโลกรัมเมื่ออายุได้ 5 เดือน นอกจากนี้ควรเป็นหมูที่กินอาหารน้อยแต่น้ำหนักเพิ่มได้มาก มีไขมันบาง เต้านมสมบูรณ์อย่างน้อย 12 เต้า โครงสร้างร่างกายแข็งแรง ไม่มีประวัติการเจ็บป่วยและไม่เคยป่วยเป็นโรคที่ร้ายแรง
ลักษณะของพ่อพันธุ์หมูที่ดี
สำหรับการคัดเลือกลักษณะพ่อพันธุ์หมูที่ดีนั้น มีหลักในการคัดเลือกไม่แตกต่างอะไรจากการคัดเลือกแม่พันธุ์หมูมากนัก แต่อาจจะมีความพิถีพิถันมากกว่า เช่น แม่พันธุ์ 10 ตัว คลอดลูกออกมารวมกันได้ประมาณ 100 ตัว อาจคัดเลือกพ่อพันธุ์ที่แข็งแรงมาสักประมาณ 1-2 ตัว เพราะพ่อพันธุ์สามารถผสมพันธุ์กับแม่พันธุ์ได้หลายตัวและให้ลูกออกมาได้จำนวนมาก
2) การผสมพันธุ์หมู
เป้าหมายสำคัญในการผสมพันธุ์หมูก็เพื่อให้ได้ลูกหมูที่มีความสมบูรณ์แข็งแรงมากที่สุด ลูกหมูทุกตัวควรโตได้เร็วและแม่หมูสามารถคลอดลูกได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว โดยทางกรมปศุสัตว์ได้แบ่งลักษณะการผสมพันธุ์หมูออกเป็น 2 วิธีหลัก ๆ ได้แก่
การผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ
การผสมพันธุ์ด้วยวิธีตามธรรมชาติจะใช้พ่อพันธุ์ 1 ตัวต่อแม่พันธุ์ 10 ตัว โดยสามารถใช้พ่อพันธุ์มาผสมพันธุ์ได้จนถึงอายุ 3 – 4 ปี ซึ่งการผสมพันธุ์จะใช้เวลาประมาณ 3 – 20 นาที ให้สังเกตจากการหลั่งน้ำเชื้อของพ่อหมูที่จะมีอยู่ 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 (1-5 นาที): จะขับน้ำหล่อลื่นใส ๆ ออกมาโดยไม่มีตัวอสุจิผสมอยู่ เมือกใส ๆ นี้จะมีอยู่ประมาณ 5-20% ของน้ำเชื้อทั้งหมด
ระยะที่ 2 (2-5 นาที): จะมีอสุจิอยู่ประมาณ 30-50% ของน้ำเชื้อทั้งหมด
ระยะที่ 3 (3-4 นาที): เป็นช่วงที่มีอสุจิน้อย โดยน้ำเชื้อจะแข็งตัวเป็นเม็ดสาคูกั้นเพื่อไม่ให้อสุจิไหลออกมานอกช่องคลอด โดยมีประมาณ 40-60% ของน้ำเชื้อทั้งหมด
การผสมเทียม
การผสมพันธุ์เทียมทำได้โดยการฉีดน้ำเชื้อจากตัวผู้เข้าสู่ช่องคลอดของหมูตัวเมียในช่วงที่หมูติดสัดเต็มที่ ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธียอดนิยมสำหรับฟาร์มหมูขนาดใหญ่และขนาดกลาง เพราะข้อดีของการผสมพันธุ์เทียม คือ จะได้พ่อพันธุ์ที่ดี ช่วยประหยัดค่าอาหารในการเลี้ยงพ่อพันธุ์ อีกทั้งยังสามารถทำได้ง่ายสามารถทำเองได้ โดยเกษตรกรสามารถหาซื้อน้ำเชื้อพ่อพันธุ์ได้ที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาสุกรและที่สำคัญการผสมเทียมจะใช้น้ำเชื้อจากพ่อพันธุ์ 1 ตัวต่อแม่พันธุ์ 50 ตัว จึงถือเป็นวิธีที่จะช่วยให้เกษตรกรได้ความคุ้มค่ามากที่สุด
3) เลือกรูปแบบการเลี้ยงหมูและจัดเตรียมพื้นที่
โดยทั่ว ๆ ไปแล้วเกษตรกรสามารถเลี้ยงหมูได้ในบริเวณลานบ้านหรือหากมีงบประมาณก็สามารถจัดทำโรงเรือนสำหรับเลี้ยงหมูได้ ซึ่งวิธีที่คนปัจจุบันนิยมคือการสร้างโรงเรือนเพราะสามารถจัดสรรพื้นที่ในการเลี้ยงหมูได้อย่างเป็นสัดเป็นส่วนช่วยให้สามารถจัดการและดูแลหมูได้ทั่วถึงขึ้น โดยหลักทั่วไปในการสร้างโรงเรือนเลี้ยงหมูควรคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้
- ตั้งอยู่ในพื้นที่สูงที่น้ำท่วมขังไม่ถึง
- ห่างจากแหล่งชุมชนหรือถนนที่มีผู้คนพลุกพล่านและห่างจากฟาร์มอื่น ๆ พอสมควร
- สร้างโรงเรือนตามแนวทิศตะวันออก-ตก
- ควรมีรางระบายน้ำเสียและบ่อพักน้ำเสียใกล้โรงเรือน
- ไม่ปลูกต้นไม้พุ่มเตี้ยที่อาจไปบังลมระดับต่ำ
- หลังคาโรงเรือนควรโปร่งและสูง กันแดดได้ดีและควรระบายอากาศได้ตลอดเวลา
การจัดเตรียมพื้นที่ในโรงเรือนควรแบ่งออกเป็นสัดส่วนเพื่อแบ่งหมูออกจากกันตามคอกต่าง ๆ โดยจะแบ่งตามรูปแบบดังต่อไปนี้
คอกหมูพ่อพันธุ์: หมูพ่อพันธุ์แต่ละตัวต้องเลี้ยงแยกในคอกเดี่ยว ไม่ควรเลี้ยงรวมกัน คอกนี้ควรสร้างให้สูงประมาณ 1.2 เมตร และควรมีทางออกให้หมูพ่อพันธุ์ได้ออกไปเดินออกกำลังกายและรับแสงแดดบ้าง อีกทั้งยังควรมีรางอาหารคอนกรีต จุกน้ำแบบดูด ร่องน้ำ และรางระบายมูลที่ด้านหลัง
คอกหมูแม่พันธุ์: จะเป็นคอกเดี่ยวที่มีขนาดเล็กลงมาหน่อยเพื่อฝึกไม่ให้แม่พันธุ์กระวนกระวาย หลังจากแม่พันธุ์ผสมพันธุ์แล้ว จะถูกย้ายไปยังคอกสำหรับคลอดที่มีขนาดใกล้เคียงกัน แต่มีพื้นที่สำหรับเลี้ยงลูกอยู่
คอกหมูสาว: เป็นคอกที่เตรียมขุนหมูสาวเพื่อนำไปใช้ทำแม่พันธุ์ สามารถเลี้ยงรวมกันได้ 3-4 ตัวในคอกเดียวกัน เมื่อหมูสาวหนักได้ประมาณ 90 กิโลกรัม จึงสามารถย้ายไปคอกหมูแม่พันธุ์เพื่อรอผสมพันธุ์ได้
คอกสำหรับคลอด: จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของแม่และส่วนของลูก แม่หมูจะยืนหรือนอนตะแคงด้านใดด้านหนึ่งเพื่อให้ลูกหมูกินนมแม่ได้โดยที่แม่หมูไม่นอนทับลูก แม่หมูจะเลี้ยงลูกไปจนถึงช่วงลูกหมูหย่านม
คอกหมูขุน: เป็นคอกที่สร้างง่าย เหมาะกับการเลี้ยงหมูจำนวนน้อย หากสร้างแบบเพิงหมาแหงนก็จะสามารถรองรับหมูได้ประมาณ 10 ตัว แต่หากเลี้ยงหมูขุนจำนวน 20-50 ตัวแนะนำให้ทำคอกด้วยอิฐบล็อกเพราะจพแข็งแรงกว่า
4) การให้อาหารที่ดีกับหมู
หมูเป็นสัตว์ที่มีระบบทางเดินอาหารแบบกระเพาะเดี่ยว จึงไม่สามารถย่อยอาหารที่มีกากใยปริมาณมากได้ดีเหมือนพวกวัวหรือควายซึ่งเป็นสัตว์กระเพาะรวม ดังนั้น เพื่อการเลือกสรรอาหารต่าง ๆ ให้หมูได้รับโภชนาการที่มีประโยชน์ควรมีส่วนประกอบของอาหารดังต่อไปนี้
- น้ำ ควรเป็นน้ำสะอาดที่เตรียมไว้ให้หมูดื่มตลอดเวลา เพราะใน 1 วัน หมูจะดื่มน้ำมากถึง 5-20 ลิตร
- โปรตีน ช่วยสร้างเนื้อเยื่อและเสริมสร้างความแข็งแรงให้หมู โดยมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อหมูถึง 10 ชนิด พบได้มากในกากถั่วเหลือง กากถั่วลิสง ปลาป่น เลือดแห้ง ขนไก่ป่น เป็นต้น
- คาร์โบไฮเดรต เป็นอาหารที่ให้พลังงาน ซึ่งมีทั้งแป้ง น้ำตาล และอาหารจำพวกกากใยต่าง ๆ พบได้มากในปลายข้าว รำข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง เป็นต้น
- ไขมัน เป็นอีกหนึ่งอาหารที่ให้พลังงานเช่นเดียวกันกับคาร์โบไฮเดรต แต่ให้พลังงานมากกว่าคาร์โบไฮเดรต ได้มาจากน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม น้ำมันรำ หรือน้ำมันจากสัตว์ เช่น ไขมันวัว ไขมันหมู
- แร่ธาตุ ช่วยเสริมสร้างกระดูกและต้านทานโรค พบได้มากในกระดูกป่น เปลือกหอยบด
- วิตามิน จำเป็นต่อการเจริญเติบโตและการดำรงชีวิต พบได้ในหัววิตามินแร่ธาตุที่ขายแบบสำเร็จรูป หรืออาหารอื่น ๆ ที่มีแร่ธาตุ
สำหรับการให้อาหารหมูที่ดีสามารถทำได้ 2 วิธี ได้แก่
1) การผสมอาหารโดยใช้หัวอาหาร: ซึ่งเป็นการผสมอาหารให้มีความเข้มข้น โดยข้อมูลจากเอกสารการเลี้ยงหมูในยุค IMF ของศิริสุข สุขสวัสดิ์ได้กล่าวว่าควรให้มีระดับโปรตีนอยู่ที่ประมาณ 35-45% และวิธีนี้ถือว่าเป็นวิธีที่มีความสะดวกสบายสำหรับเกษตรกร เพราะสามารถหาอาหารได้จากในท้องถิ่น
2) การใช้อาหารสำเร็จรูป: เกิดจากการที่บริษัทผลิตอาหารสัตว์ได้คิดค้นและผลิตอาหารสำเร็จรูปออกมาวางจำหน่ายกันมากขึ้น ช่วยประหยัดเวลาเกษตรกรในการให้อาหารหมูเพราะไม่ต้องเสียเวลามาผสมเอง แต่มีข้อเสียตรงที่มีราคาค่อนข้างสูง จึงเหมาะสำหรับการเลี้ยงลูกหมูและเกษตรกรเลี้ยงหมูมือใหม่มากกว่า อีกทั้งอาหารสำเร็จรูปเป็นอาหารที่มีคุณภาพดีมาก และช่วยลดความยุ่งยากในการกำหนดปริมาณสารอาหารอีกด้วย
5) การดูแลหมูในแต่ละช่วง
การเลี้ยงดูหมูในช่วงวัยที่แตกต่างกันก็จะส่งผลให้มีขั้นตอนการดูแลที่แตกต่างกันไปด้วย หากเกษตรกรศึกษาและทำความเข้าใจการเลี้ยงหมูในแต่ละช่วงวัยอย่างดีก็จะช่วยให้หมูของเราแข็งแรงและให้ผลผลิตได้อย่างมีคุณภาพตามที่เราต้องการด้วย
การดูแลพ่อพันธุ์: พ่อหมูที่จะนำมาเป็นพ่อพันธุ์ ควรมีอายุตั้งแต่ 8 เดือนขึ้นไป และควรให้กินอาหารประมาณวันละ 2 กิโลกรัม โดยมีโปรตีนเป็นส่วนผสมประมาณ 16%
การดูแลแม่พันธุ์: ควรจัดสรรอาหารที่มีส่วนผสมของโปรตีนประมาณ 16% และให้กินอาหารประมาณวันละ 2 กิโลกรัม การนำแม่หมูมาเป็นแม่พันธุ์ ควรมีอายุประมาณ 7-8 เดือน และต้องทำน้ำหนักได้ประมาณ 100-120 กิโลกรัม แต่เมื่อผสมพันธุ์แล้ว ควรลดอาหารให้เหลือวันละ 1.5-2 กิโลกรัม และช่วงใกล้คลอดประมาณ 108 วัน ควรลดอาหารลงเหลือ 1-1.5 กิโลกรัมต่อวัน
การดูแลแม่หมูหลังคลอด: เกษตรกรควรฉีดยาปฏิชีวนะหลังแม่หมูคลอดทันทีเพื่อป้องกันมดลูกอักเสบ และควรให้อาหารแม่หมูแต่น้อยหลังคลอด 1-3 วันแรกและเพิ่มปริมาณอาหารขึ้นเรื่อย ๆ จนเต็มที่เมื่อถึงเวลาหลังคลอด 14 วัน
การดูแลลูกหมูเมื่อคลอด: การสังเกตว่าแม่หมูใกล้คลอดแล้ว ช่วงก่อนคลอด 24 ชั่วโมง เมื่อบีบที่เต้านม จะมีน้ำนมไหลออกมา เกษตรกรควรดูแลลูกหมูแรกคลอดโดยการใช้ผ้าสะอาดหรือฟางเช็ดตัวลูกหมูให้แห้ง ตัดสายสะดือและตัดเขี้ยวออกให้หมด จากนั้นให้ลูกหมูกินนมแม่ให้เร็วที่สุด
การดูแลลูกหมูไปจนถึงช่วงหย่านม: ลูกหมูในช่วง 1-3 วันแรกควรได้รับการฉีดธาตุเหล็กเพื่อป้องกันโรคโลหิตจาง และในช่วง 15 วันแรก ลูกหมูจะต้องการความอบอุ่น แนะนำให้หาไฟมากก โดยให้อุณหภูมิอยู่ที่ 32-34 องศาเซลเซียส อาหารสำหรับลูกหมูในช่วงนี้ คือ นมแม่ และอาหารอ่อน ๆ เพื่อให้ลูกหมูฝึกกินอาหาร โดยให้กินทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง
การดูแลลูกหมูหลังหย่านม: ลูกหมูจะหย่านมเมื่ออายุได้ประมาณ 28 วัน เมื่ออายุย่างเข้า 6 สัปดาห์ ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคอหิวาต์ และควรฉีดซ้ำทุก ๆ 6 เดือน เมื่ออายุเข้าสัปดาห์ที่ 7 ให้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคปากเท้าเปื่อยและควรฉีดซ้ำทุก ๆ 4-6 เดือน นอกจากนี้ควรถ่ายพยาธิเมื่ออายุได้ประมาณ 2 เดือนครึ่ง
การป้องกันโรคและดูแลสุขภาพของหมู
การเลี้ยงหมูห็เหมือนกับการเลี้ยงสัตว์อื่น ๆ ที่ต้องการการดูแลสุขภาพและควรมีระบบการป้องกันโรคต่าง ๆ อย่างดี เหตุผลก็เพื่อให้หมูแข็งแรงและให้ผลผลิตแก่เกษตรกรได้มากที่สุด ปกติแล้วหมูถือว่าเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย โตไว แต่ก็ยังมีโรคต่าง ๆ ที่เหล่าเกษตรกรควรระมัดระวัง โดยสารานุกรมไทย เรื่องการเลี้ยงหมูได้ระบุโรคที่เหล่าเกษตรกรควรเฝ้าระมัดระวัง เช่น
โรคอหิวาต์หมู: เกิดจากเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อได้จากการสัมผัส อาหาร และน้ำ อีกทั้งยังเกิดจากสิ่งแปลกปลอมที่ปนเปื้อนมาจากอาหาร เช่น มูลนกหรือมูลสัตว์ชนิดอื่น ๆ หมูที่เป็นโรคนี้จะมีอาหารหงอยซึม เบื่ออาหารและมีไข้สูง วิธีการป้องกัน คือ การฉีดวัคซีนปีละครั้งหรือฉีดเซรุ่มเมื่อหมูมีอาการ
โรคปากเท้าเปื่อย: เป็นโรคระบาดที่ติดต่อกันเร็วในสัตว์เท้ากีบคู่ ถึงแม้ว่าจะไม่ทำให้ถึงกับตายแต่ก็ทำให้หมูซูบผอม สาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสที่ติดต่อได้ผ่านทางอาหาาร น้ำ หรือการสัมผัส อีกทั้งแมลงวันยังเป็นพาหะนำโรคด้วย การป้องกัน คือ การฉีดวัคซีนให้ 6 เดือนต่อครั้งและควรจัดตั้งโรงเรือนให้ห่างกันพอสมควรเพื่อป้องกันเชื้อแพร่ระบาด
เกร็ดความรู้
ASF ย่อมาจาก African swine fever คือ โรคอหิวาต์แอฟริกาที่จะแพร่ระบาดในหมูบ้านหรือหมูป่าและเกิดได้กับหมูทุกช่วงวัยแต่จะไม่ติดต่อจากหมูสู่คน โดยอาการของโรคนี้หมูจะมีไข้สูง เบื่ออาหาร มีอาการซึม ไอ จาม ท้องเสีย อาเจียน ถ้าท้องอยู่ก็จะแท้งลูก มีอัตราการตายสูงไปจนถึงตายได้แบบเฉียบพลัน ในปัจจุบันนี้ยังไม่มีวิธีรักษาหรือวัคซีนป้องกันโรคชนิดนี้จึงต้องใช้มาตรการป้องกันและระวังในการดูแลสุขภาพหมูให้ปลอดภัย ถ้าหากพบหมูที่มีอการผิดปกติต้องกักตัวให้ห่างจากหมูตัวอื่น ๆ อย่างเคร่งครัดทันที หมั่นล้างฆ่าเชื้อหรือทำความสะอาดคอกบ่อย ๆ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยนับว่าเป็นประเทศที่สามารถจัดการกับโรคนี้ได้ดีเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเลยก็ว่าได้ ทำให้หมูยังคงมีผลผลิตที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ประโยชน์ของการเลี้ยงหมูสู่การสร้างรายได้หลายทาง
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่าการเลี้ยงหมูนั้นไม่ยากเพราะไม่ต้องใช้เงินลงทุนเยอะ อีกทั้งยังเจริญเติบโตได้ไวจึงสามารถสร้างรายได้ได้อย่างรวดเร็ว ในปัจจุบันเนื้อหมูเป็นวัตถุดิบหลักในการทำอาหารของคนไทย เกษตรกรนอกกจากสามารถส่งออกเนื้อหมูก็ยังสามารถสร้างกำไรได้อีกหลากหลายช่องทางดังต่อไปนี้
1) เลี้ยงเพื่อขยายพันธุ์พ่อพันธุ์-แม่พันธุ์หมู
การจะได้หมูพันธุ์ดีแน่นอนว่าพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์ต้องมีคุณภาพดี การเลี้ยงหมูเพื่อส่งขายพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์จึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการสร้างรายได้ให้แก่เกษตรได้อย่างมหาศาล ดูจากสถานการณ์การส่งออกหมูจะเห็นว่า ส่วนใหญ่ไทยจะส่งออกหมูพันธุ์และหมูที่ยังมีชีวิตค่อนข้างมาก โดยเฉพาะในปี 2563 ที่ผ่านมาประเทศไทยส่งออกหมูมากถึง 2,676,880 ตัว มูลค่า 17,164.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2562 มากทีเดียว เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านมีความต้องการหมูพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์เพื่อไปทดแทนผลผลิตที่เสียหายจากโรค ASF จึงทำให้ประเทศไทยส่งออกหมูได้เพิ่มมากขึ้นหลายเท่าตัว ยังไม่รวมถึงความต้องการของตลาดภายในประเทศที่ต้องการซื้อขายพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์หมูเพื่อต้องการลูกหมูขุนที่มีคุณภาพดี ซึ่งราคาก็จะมีการขึ้นลงตามตลาดส่วนกลางด้วย
2) เลี้ยงเพื่อขายลูกหมู
นอกจากเกษตรกรจะขายพ่อพันธุ์-แม่พันธุ์หมูได้แล้ว ลูกหมูที่แข็งแรงก็สามารถขายในราคาที่ดีได้เพราะต้องนำไปขุนเนื้อต่อ โดยการเพาะพันธุ์ลูกหมูขายก็ไม่ได้มีอะไรยุ่งยากและใช้การลงทุนแค่ครั้งแรกแต่สามารถสร้างกำไรได้ในระยะยาว โดยเกษตรกรสามารถไปซื้อพ่อพันธุ์และแม่พันธุ์หมูกับทางกรมปศุสัตว์ได้ในราคาที่เหมาะสม ถ้าหากซื้อหมูแม่พันธุ์มา 10 ตัวและพ่อพันธุ์ 1 ตัวราคาจะอยู่ที่ตัวละ 8,000 บาท (เฉลี่ย 66 บาทต่อกิโลกรัม) ค่าอาหาร แม่พันธุ์ 1 ตัวสามารถคลอดลูกได้ครั้งละไม่ต่ำกว่า 12 ตัว กรณีจำหน่ายลูกสุกรยกชุดราคา 6,000 บาท (จำหน่ายเป็นตัวราคาตัวละ1,200 บาท) 1 เดือนก็จะสร้างรายได้จากการจำหน่ายลูกหมูประมาณ 35,000 – 40,000 บาทเลยอีกทั้งยังสามารถจำหน่ายได้ตลอดทั้งปีด้วย
3) ขายมูลของหมูทำปุ๋ย
มูลสัตว์อาจเป็นสิ่งที่ไม่น่าพึงประสงค์สำหรับใครหลาย ๆ คนแต่ในเแง่ของการเกษตรนั้น มูลสัตว์ถือว่ามีค่ามากเมื่อต้องนำมาทำปุ๋ย มูลของหมูก็เป็นหนึ่งในส่วนประกอบชั้นดีของปุ๋ยคอกที่สามารถสร้างรายได้เสริมให้แก่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูได้ โดยจากการศึกษาในบทความของสุกัญญาจัตตุพรงษ์ที่ทางสมาคมเลี้ยงสุกรแห่งชาติได้อ้างอิงมาเกี่ยวกับการนำมูลหมูมาแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าและสามารถขายทำเงินได้มากขึ้น เป็นปุ๋ยหมักที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนในการปลูกมันสำปะหลัง ข้าว ข้าวโพดและผักต่าง ๆ ได้อย่างดีเลยทีเดียว ปัจจุบันขี้หมูตากแห้งที่พร้อมนำไปทำปุ๋ยขายกันราคาจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 30 – 36 บาท
4) ส่งเนื้อหมูแปรรูปได้
แน่นอนว่าอีกช่องทางขาดไม่ได้จากการเลี้ยงหมู คือ การส่งเนื้อหมูแปรรูปออกขายตามท้องตลาดทั้งในและต่างประเทศ เพราะการแปรรูปเนื้อหมูจะเป็นการถนอมอาหารได้ยาวนานและสามารถนำไปเป็นวัตถุดิบได้ตามต้องการ ซึ่งการแปรรูปอาจมีทั้งในลักษณะของการแร่เนื้อแช่แข็ง เปลี่ยนรูปแบบให้เป็นแฮมหมู เบคอน หมูแผ่น หมูเส้นต่าง ๆ ซึ่งเป็นสินค้าขายดีในหลายพื้นที่ รวมทั้งสามารถส่งออกให้กับประเทศเพื่อนบ้านหรือประเทศใกล้เคียงได้หลายแห่ง อาทิ ประเทศลาว พม่า กัมพูชา ญี่ปุ่น ฮ่องกงและสิงคโปร์ โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาปริมาณการส่งออกเนื้อหมูแปรรูปประมาณ 8,554 ตัน เท่ากับมูลค่า 1,790.92 ล้านบาทซึ่งนับว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2562 มากอาจเป็นเพราะคนมีความต้องการบริโภคหมูมากขึ้นด้วย
เรียกได้ว่าหมูเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่สามารถเลี้ยงได้ง่าย โตไวและเหมาะกับคนที่อยากทำปศุสัตว์แบบต่อยอดไปสู่อาชีพหลักได้ มีพื้นที่ในการเลี้ยงน้อยก็สามารถเลี้ยงหมูได้ สามารถหารายได้ได้หลายช่องทางด้วย ดังนั้น ก็หวังว่าข้อมูลต่าง ๆ ที่ทาง Kaset today นำมาแบ่งปันวันนี้จะช่วยให้ทุกคนเลี้ยงหมูได้ถูกวิธีและมีรายได้ที่ดียิ่งขึ้น
แหล่งที่มา
คู่มือการเลี้ยงหมู, กรมปศุสัตว์
สถานการณ์สินค้าสุกรที่สำคัญและแนวโน้ม ปี 2564, สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ