เข็มอินเดีย ภาษาอังกฤษ Pentas/ Egyptian Star-cluster/starflower
เข็มอินเดีย ชื่อวิทยาศาสตร์ pentas lanceolata (forssk.) Deflers
ชื่อวงศ์ Rubiaceae
ต้นเข็มอินเดีย มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของอัฟริกา เป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก มีหลายสี เช่น ชมพู ชมพูอมม่วง ม่วงแดง บ้างก็มีสีขาวขลิบ หรือมีสองสีสลับในดอกเดียวกัน ออกดอกตลอดปี ในภาษาดอกไม้ ต้นเข็มอินเดีย จะสื่อความหมายถึงความสงบ และส่งความรู้สึกเคารพ ให้กับผู้รับ และดอกเข็มยังสื่อความหมายว่าหลักแหลม ทิ่มแทง ในอินเดียดอกเข็มเป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้สักการะบูชาเทพเจ้า ตลอดจนใช้ในงานพิธีสำคัญต่าง ๆ เหมือนกับทางฝั่งไทยที่ผู้คนสมัยโบราณนิยมปลูกดอกเข็มไว้ในบ้านเพราะเชื่อว่าเป็นไม้มงคล มีคุณด้านทำให้ผู้อยู่อาศัยมีสติปัญญาเฉียบแหลม ด้วยความที่เป็นดอกไม้ความหมายดีบางครั้งจึงถูกนำไปประดับตกแต่งพานพุ่มหรือร้อยเป็นมาลัยซึ่งจำเป็นต้องใช้คนที่มีฝีมือละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากดอกเข็มมีลักษณะเปราะบางก้านเรียวเล็กเหมือนปลายเข็ม ต้นเข็มอินเดียเป็นไม้ปลูกกลางแจ้ง ชอบแดด ขึ้นได้ดีในดินทุกที่มีความชื้นและธาตุอาหารพอประมาณ ขยายพันธุ์ด้วยการปักชำและตอนกิ่ง เหมาะสำหรับเป็นไม้ประดับตกแต่งสวน แต่ต้องคำนึงถึงพื้นที่ด้วยเพราะเป็นไม้โตเร็วถ้าปล่อยสูงเต็มที่อาจสูง ได้ถึง1-1.5 เมตร แต่ถ้าปลูกลงกระถาง อายุประมาณ 2 เดือน สูงประมาณ 30 ซม. ก็เริ่มให้ดอกแล้ว แต่จะโตช้าและดอกไม่ดกงามเท่ากับปลูกลงดิน มีข้อส้งเกตถึงลักษณะประจำตัวของต้นเข็มอินเดียที่ควรทราบคือใบมีรูปทรงคล้ายใบโหระพาแต่กลิ่นไม่เหมือนโหระพา มีขนอ่อนๆตามใบและกิ่ง ลักษณะดอกคล้ายดอกเข็มแต่มีกลีบ 5 กลีบ มีหลากหลายสี ดอกมีขนาดโตกว่าดอกเข็มทั่วไป และดูสวยสดุดตากว่าดอกเข็มที่เราใช้ไหว้ครูซึ่งสวยแบบคลาสสิค
ลักษณะทั่วไป
- ลำต้นเข็มอินเดีย เป็นไม้พุ่มเตี้ย เนื้ออ่อน มีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของอัฟริกา ลำต้นสูงประมาณ 25 – 50 ซ.ม. มีขนอยู่ทั่วลำต้นและใบ ลำต้นและกิ่งก้านจะเปราะ
- ใบ เดี่ยว ออกตรงข้าม รูปไข่ถึงรูปรี ปลายใบแหลม โคนใบมน ขอบใบเรียบ แผ่นใบสีเขียวเข้ม
- ดอก ออกเป็นช่อกระจุกที่ปลายยอด โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดเล็กยาว ปลายแยกเป็น 5 กลีบ มีหลายสี เช่น ชมพู ชมพูอมม่วง ม่วงแดง บ้างก็มีสีขาวขลิบ หรือมีสองสีสลับในดอกเดียวกัน ออกดอกตลอดปี
สายพันธุ์
มีหลากหลายสี ทั้งสีแดง สีเหลือง สีส้ม สีม่วงแดง สีม่วงชมพู สีม่วงออกขาว และสีขาว แล้วแต่ชนิดสายพันธุ์ เป็นไม้ดอกพุ่มเตี้ยเนื้ออ่อนนำเข้ามาปลูกในไทยร่วม 40 ปี มาแล้ว
- Glitterati กลิตเตอราติ พันธุ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยดอกรูปดาว ใจกลางสีขาวขอบสีเข้ม ทรงพุ่มใหญ่ ช่อดอกใหญ่ สีเด่นสะดุดตา ดอกบานอย่างต่อเนื่อง ทนร้อนได้ดี นิยมปลูกเป็นไม้กระถางและประดับแปลง
- Lucky Star ลัคกี้ สตาร์ เข็มอินเดียที่ปลูกได้ทุกฤดู จึงได้รับความนิยมมาก ลัคกี้ สตาร์ ออกดอกเหนือทรงพุ่มต่อเนื่องเป็นชุด ทำให้โชว์ดอกที่บานได้นานหลายสัปดาห์ ทรงพุ่มแน่น กะทัดรัด และน่ารัก เหมาะสำหรับไม้กระถางโดยเฉพาะ
- Graffiti กราฟฟิตี้ กราฟฟิตี้ คือความสดใสจากสีที่จัดจ้านของตัวดอก ช่อดอกกลมใหญ่ชูเหนือต้น ทนร้อน ปลูกคละสีได้สวย เนื่องจากโทนสีของกราฟฟิตี้มีความกลมกลืน และช่วยส่งเสริมกันให้โดดเด่น
- Butterfly บัตเตอร์ฟลาย ช่อดอกใหญ่ ต้นสูงมากที่สุดในกลุ่มของเข็มอินเดียทั้งหมด แข็งแรง ทนร้อนและทนแล้ง มีอายุการใช้งานนาน สามารถตัดแต่งเพื่อให้ออกดอกได้ทั้งปี
วิธีการปลูก
- การปลูกในกระถาง ใช้กระถางทรงสูงขนาด 8-12 นิ้ว ใช้วัสดุปลูกที่เป็นดินร่วนผสมกับแกลบผุ ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ในอัตราส่วนเท่าๆ กัน รดน้ำพอชุ่ม นำไปวางในที่ที่มีแสงแดดส่องถึง ควรเปลี่ยนกระถางให้ใหญ่ขึ้นเมื่อต้นเข็มเริ่มโต พร้อมกับเปลี่ยนดินปลูกไปด้วยเพื่อให้สามารถเติบโตได้อย่างเต็มที่ ไม่ควรปลูกในกระถางเดิมนานเกิน 1 ปี
- การปลูกลงดิน ใช้ดินร่วน ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ผสมกับดินในแปลงปลูกในอัตราส่วนเท่าๆ กัน ขุดหลุมปลูกให้มีความกว้าง ยาว ลึก ประมาณ 30 ซม. หากต้องการปลูกประดับเป็นแนวรั้วก็ควรปลูกให้ต้นชิดกันเพื่อให้จับกันเป็นกลุ่ม เมื่อต้นเจริญเติบโตขึ้นก็ให้ตัดแต่งทรงพุ่มได้ตามความต้องการ
การขยายพันธุ์
ทำได้ด้วยการปักชำ ตอนกิ่ง หรือเพาะเมล็ด วิธีที่นิยมและได้ผลดีกว่าคือการปักชำและตอนกิ่ง เข็มอินเดีย เป็นดอกเข็มสายพันธุ์ใหม่ที่เจริญเติบโตได้ดีในดินแทบทุกชนิดที่มีความชื้นเพียงพอ เป็นไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดดจัดๆ ทนต่อสภาพความแห้งแล้งได้ดี ต้องการน้ำในปริมาณปานกลาง สามาถปลูกเลี้ยงได้ทั้งในกระถาง หรือปลูกลงดิน
วิธีการดูแล
รดน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการ ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป ประมาณสัปดาห์ละ 3-5 ครั้ง อย่างสม่ำเสมอ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ประมาณต้นละ 0.5-1 กก. ในแต่ละปีควรใส่ปุ๋ยให้ประมาณ 5-6 ครั้ง ควรตัดแต่งทรงพุ่มอย่างสม่ำเสมอ และให้ได้รับแสงแดดจัดๆ เพื่อให้ต้นเข็มเจริญเติบโตได้ดีและมีดอกจำนวนมาก หรืออาจใช้ปุ๋ยเร่งการออกดอกประมาณเดือนละ 1 ครั้ง และรดน้ำพอชุ่มเป็นประจำ
ประโยชน์และสรรพคุณ
นิยมปลูกเป็นไม้ดอกไม้ประดับตามอาคารบ้านเรือน หรือสถานที่ต่างๆ เพื่อความสวยงามและความเป็นสิริมงคลแก่ผู้อยู่อาศัยในด้านทำให้เกิดความรู้และปัญญา ซึ่งคนโบราณเชื่อว่าต้องปลูกในวันพุธทางทิศตะวันออก ในการปลูกสามารถปลูกเดี่ยวหรือเป็นกลุ่มประดับสวน ดอกจะดกถ้าได้รับแสงแดดมาก แต่ใบมักจะแห้งหรือไหม้ จึงควรปลูกทางทิศตะวันออกและรดน้ำให้เพียงพอ