สวนเกษตรทูเดย์ ของเรามีทีมงานผู้เชี่ยวชาญในการปลูกต้นไม้ ทั้งในรูปแบบของการจัดสวนสวยงาม ปลูกไม้ประดับ ปลูกไม้ผล รวมไปถึงการปลูกป่า ปลูกไม้เศรษฐกิจ เพื่อเอาไว้เก็บกินและใช้สอยได้ในอนาคต โดยเราปลูกไม้ป่ามาแล้วกว่า 50,000 ต้น รวมพื้นที่เกินกว่า 500 ไร่ ในรอบ ปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่เดือน มิถุนายน ปี พ.ศ.2563 เป็นต้นมา รัฐบาลของไทยเราได้เริ่มทำการจัดเก็บภาษีที่ดิน โดยสำหรับที่ดินว่างเปล่าที่ไม่ได้มีการจัดทำเป็นที่อาศัยหรือทำเกษตรกรรมนั้น จะมีอัตราการเก็บภาษีโดยเฉลี่ยนอยู่ที่ 1.2% ต่อปี โดยจะคิดเพิ่มปีละ 0.3% แต่ห้ามเกิน 3% คิดจากราคาประเมินที่ดิน เพราะฉะนั้น หากที่ดินรกร้างของเรามีราคาประเมิน 1 ล้านบาท จะต้องทำการเสียภาษีให้แก่รัฐบาลปีละ 12,000 บาท และจะเพิ่มขึ้นปีละ 0.3% หรือประมาณ 3000 บาท และอาจจะขึ้นถึงจุดสูงสุดตามกฎหมายที่ 30,000 บาทต่อปี เลยทีเดียว โดยจุดมุ่งหมายของการเก็บภาษีดังกล่าวก็เพื่อกระตุ้นให้มีการใช้ประโยชน์จากที่รกร้างให้มากที่สุด
เพราะฉะนั้นเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในดังกล่าวนี้ ท่านสามารถ ใช้บริการจากเราเพื่อเปลี่ยน จากที่รกร้างให้กลายเป็นพื้นที่การเกษตรประเภทปลูกไม้สำหรับใช้เนื้อไม้ หรือไม้ป่าเศรษฐกิจ เพื่อเอาไว้ใช้ประโยชน์ในอนาคต และยังช่วยลดหน่อยภาษีที่ดินให้เหลือเพียง 0.1% หรือประมาณ 1,000 บาท จากที่ดินมูลค่า 1 ล้านบาท ที่จากเดิมต้องเสียภาษีถึงปีละ 12,000 – 30,000 บาท ต่อปี
ปลูกไม้ป่า 10 ปี มี 20 ล้าน!!
สารบัญเนื้อหา
ราคาบริการปลูกต้นไม้ขนาดต่างๆของสวนของเรา
ราคาปลูกกล้าไม้ป่า
- ความสูง 20-100 ซม. ค่าปลูกพร้อมคำยันด้วยไม้รวก 45 บาท (ครบ 1 ปี ตายกี่ต้น ไปซ่อมให้ฟรี + แถมฟรีปุ๋ยคอกรองก้นหลุม)
ราคาปลูกไม้ล้อม
- 1 นิ้ว ราคาปลูกพร้อมไม้ค้ำยัน ราคา 200 บาท
- 1.5 นิ้ว ราคาปลูกพร้อมไม้ค้ำยัน ราคา 300 บาท
- 2 นิ้ว ราคาปลูกพร้อมไม้ค้ำยัน ราคา 400 บาท
- 2.5 นิ้ว ราคาปลูกพร้อมไม้ค้ำยัน ราคา 500 บาท
- 3 นิ้ว ราคาปลูกพร้อมไม้ค้ำยัน ราคา 600 บาท
- 3.5 นิ้ว ราคาปลูกพร้อมไม้ค้ำยัน ราคา 700 บาท
- 4 นิ้ว ราคาปลูกพร้อมไม้ค้ำยัน ราคา 800 บาท
- 4.5 นิ้ว ราคาปลูกพร้อมไม้ค้ำยัน ราคา 900 บาท
- 5-6 นิ้ว ราคาปลูกพร้อมไม้ค้ำยัน ราคา 1000 บาท
ราคาบริการอื่น ๆ ในสวน
ราคาขนส่ง
ค่าขนส่ง ทั้งอุปกรณ์ที่ต้องใช้ทั้งหมด พร้อมคนงาน คิดจากระยะการเดินทางจากสวนที่ อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี ไปยังปลายทาง (คิดระยะขาไปอย่างเดียว ไม่ไช่ไปกลับ)
- กระบะตอนเดียวคอกทึบสูง กิโลเมตรละ 10 บาท ต่อเที่ยว
- ขนส่งโดยรถ 6 ล้อ คิดค่าขนย้าย กิโลเมตรละ 15 บาท ต่อเที่ยว จากสวน เช่น ลูกค้าอยู่ไกล 100 กิโลเมตร คิด 1500 บาท
- ปลูก 500 ต้นขึ้นไป ไม่คิดค่าเดินทาง ต่ำกว่า 500 ต้น คิดค่าเดินทาง กิโลเมตร 10 บาท จากสวน ต่อรถที่สวน 1 คัน (ต้องใช้กี่คัน ต้องพิจารณาจากรายละเอียดหน้างานอีกครั้งหนึ่ง)
ราคาทำระบบน้ำสปริงเกอร์
-ปั๊มน้ำหอยโข่ง 3 นิ้ว 3 แรงม้า(ใช้สำหรับพื้นที่ไม่เกิน 4 ไร่) พร้อมติดตั้ง ราคา 18000 บาท
-อุปกรณ์ท่อน้ำ และอุปกรณ์ต่างๆ ในการติดตั้งระบบสปริงเกอร์ พร้อมติดตั้ง ไร่ละ 15000 บาท
เช่น ระบบน้ำสปริงเกอร์ 4 ไร่ ปั๊มน้ำ 1 ชุด 18000 + อุปกรณ์ระบบสปริงเกอร์พร้อมติดตั้ง 4 ไร่ 15000*4 = 78000 บาท
ราคาบริการปรับหน้าดิน
บริการ ขุดร่อง ปรับปรุงพื้นที่ เพื่อปลูกต้นไม้
- แมคโครเล็ก PC20 (2.5 ตัน) พร้อมคนขับ วันละ 2000 บาท, แมคโครใหญ่ pc120(12 ตัน) พร้อมคนขับ วันละ 6500 บาท
- สำหรับที่นาที่จะต้องยกร่องเพื่อหนีน้ำท่วม คิดค่าบริการยกร่องแบบเหมาไร่ละ 6500 บาท
- รถแมคโครเล็กสามารถไปกับรถหกล้อของทางสวนได้ แต่รถใหญ่ต้องจ้างรถ 10 ล้อ เพื่อนำส่ง ราคาประมาณกิโลเมตรละ 30 บาท (เช่น แปลงปลูกห่างจากสวน 100 กิโล ก็ 3000 บาท)
ราคาบริการคลุมดินด้วยพลาสติก
บริการคลุมพลาสติกป้องกันวัชพืช แนะนำให้ใช้พลาสติกขนาดความกว้าง 2 เมตร
- ค่าอุปกรณ์ คิดตามจริง(มีบิลให้ดู) + 10%(ค่าดำเนินการ)
- ค่าแรงงาน 30% จาก ข้อ 1
ปกติต้นไม้ปลูกกี่ปีถึงจะโต และใช้งานเนื้อไม้ได้
ต้นไม้แต่ละชนิดจะมีอัตราการเจริญเติบโตที่แตกต่างกันค่อนข้างมากแล้วแต่ชนิดของต้นไม้ โดยต้นไม้ที่โตเร็วส่วนมากมักจะเป็นไม้เนื้ออ่อน ส่วนต้นไม้โตช้าส่วนมากจะเป็นไม้เนื้อแข็ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม้เนื้ออ่อนก็ใช่ว่าจะอ่อนจนนำมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ เพราะไม้เนื้ออ่อนบางชนิดก็สามารถนำมาใช้งานได้ดีไม่แพ้ไม้เนื้อแข็งเลย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งานด้วย ซึ่งในส่วนนี้ลูกค้าต้องศึกษาด้วยตนเองว่าต้องการนำเนื้อไม้ที่ต้องการจะปลูกนี้ไปใช้ในวัตถุประสงค์อะไร ส่วนอายุการใช้งานของไม้บางชนิดก็แทบไม่แตกต่างกันด้วยยกตัวอย่างจากข้อมูลของกรมป่าไม้
เช่น ไม้สักทอง มีค่าความหนาแน่นอยู่ที่ประมาณ 650 กก. ต่อลูกบาศเมตร ส่วนไม้พะยูงมีค่าความหนาแน่นอยู่ที่ประมาณ 1,032 กก. ต่อลูกบาศเมตร แต่มีค่าความทนทานตามธรรมชาติอยู่ใกล้เคียงกัน เพราะฉะนั้นไม้โตช้าก็อาจจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคนอยากปลูกไม้เศรษฐกิจเสมอไป
สิ่งสำคัญคือควรเลือกปลูกให้เหมาะกับพื้นที่ที่เรามีและกำลังที่เราไหว เพราะไม้เศรษฐกิจส่วนใหญ่ต้องการพื้นที่ที่ดีในการเจริญเติบโตและจำเป็นต้องใช้ทุนทรัพย์ เวลาและความอดทนค่อนข้างมากทีเดียว แต่รับรองว่าในอนาคตมันจะให้กำไรกับคุณในมูลค่าที่คุ้มค่ามหาศาลแน่นอน
ไม้เนื้อแข็งมีอะไรบ้าง
ไม้เนื้อแข็ง จะมีข้อดี คือ แข็งแรง และทนทาน แต่ก็มีข้อเสีย คือ อาจเกิดการบิดตัวของไม้ เมื่อเวลาเกิดความชื้น ความร้อน หรืออุณหภูมิเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ไม้ หดและขยายตัวได้ ซึ่งไม่เนื้อแข็งทุกชนิดส่วนใหญ่ จะเกิดการบิดตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นเรื่องปกติ
ลักษณะทั่วไปของไม้มีเนื้อมัน แน่น สีแดงปนดำ ค่อนข้างหนักมาก มีความแข็งแรงทนทานสูงถึง 1,000 กก./ตร.ซม. จึงนิยมนำมาก่อสร้างเสาหรือโครงสร้างอาคาร ไม้หมอนรถไฟ เครื่องมือทำการเกษตร และเฟอร์นิเจอร์ของประดับบ้านประเภทต่าง ๆ มีอะไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น
- เต็ง / รัง / แดง / มะค่าโมง / ตะเคียนทอง / สักทอง / ยมหิน / ชิงชัน / ประดู่ / มะเกลือ / ตะแบก / เคี่ยม / แอ๊ก / เสลา / เลียงมัน / ตะบูนดำ / ตะคร้อหนาม / ตะคร้อไข่ / อื่น ๆ
ไม้เนื้ออ่อนมีอะไรบ้าง
ไม้เนื้ออ่อน เป็นไม้ที่มีระยะเวลาการเจริญเติบโตเร็ว ทำให้มีวงปีที่กว้าง ลายไม้ที่ได้จึงน้อย และไม่ละเอียด เนื้อไม้ มีความแข็งแรงทนทานน้อย ไม้ชนิดนี้ จะมีสีของไม้แตกต่างกันออกไปมาก ตั้งแต่ไม้ที่มี สีจางอ่อนไปจนถึงสีเข้ม เนื้อไม้ไม่แข็งมากนัก จึงไม่นิยมนำมาใช้เป็นส่วนของโครงสร้าง ที่ต้องการรับน้ำหนัก ไม่เหมาะที่จะใช้กับงานภายนอก ที่ต้องตากแดด ตากฝน จึงนิยมนำมาใช้กับงานตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ หรือส่วนโครงสร้างที่ไม่ได้รับน้ำหนัก มีอะไรบ้าง ยกตัวอย่างเช่น
- ไม้ยูคาลิปตัส / ไม้กระถินเทพา / ไม้มะฮอกกานี / ไม้สะเดาเทียม / จำปาป่า / แดงน้ำ / กระบาก / มะม่วงป่า / ยมหอม / สักขาว (ซ้อ) / เหียง / ยาง / ฉำฉา
กล้าไม้ป่าที่ควรปลูกภาคเหนือ
- สัก / ประดู่ป่า / ตะเคียนทอง / พยุง / แดง / ยางนา
กล้าไม้ป่าที่ควรปลูกภาคอีสาน
- พยูง / ประดู่ป่า / ยางนา / ตะเคียนทอง / สัก
กล้าไม้ป่าที่ควรปลูกภาคตะวันตกและภาคตะวันออก
- ยางนาตะเคียนทอง / ยางนา / ประดู่ป่า /พยอม / สัก / กฤษณา
กล้าไม้ป่าที่ควรปลูกภาคใต้
- ไม้วงศ์ยาง / ยางพารา / ตะเคียนทอง / จำปาป่า / หลุมพอ / สะเดาเทียม / กันเกรา
*** การปลูกไม้เศรษฐกิจ ควรคำนึงถึงความเหมาะสมด้านพื้นที่ ตลาด และระยะเวลาในการได้รับผลตอบแทน ***
นอกจากที่เรามีความรู้ด้านเนื้อไม้ และภูมิประเทศที่เหมาะสมต่อการปลูกไม้แต่ละชนิดแล้ว เราก็ควรจะรู้เกี่ยวกับประโยชน์ที่จะได้รับจากการ “ปลูกไม้ป่า” ซึ่งหนึ่งในหัวข้อที่ทำให้คนสนใจอยากปลูกไม้ป่านั้นก็คือ “ไม้ป่ามีค่า 58 ชนิด ใช้เป็นหลักประกันธุรกิจ กู้เงินได้” มีต้นอะไรบ้างมาดูกัน
- ไม้สัก / พะยูง / ชิงชัน กระซิก / กระพี้เขาควาย / สาธร / แดง / ประดู่ป่า / ประดู่บ้าน / มะค่าโมง / มะค่าแต้ / เคี่ยม / เคี่ยมคะนอง / เต็ง / รัง / พะยอม / ตะเคียนทอง / ตะเคียนหิน / ตะเคียนชันตาแมว / ไม้สกุลยาง (ไม่รวมยางพารา) / สะเดา / สะเดาเทียม / ตะกู / ยมหิน / ยมหอม/ นางพญาเสือโคร่ง / นนทรี /สัตบรรณ / ตีนเป็ดทะเล / พฤกษ์ / ปีบ / ตะแบกนา / เสลา / อินทนิลน้ำ / ตะแบกเลือด / นากบุด(บุนนาค) / ไม้สกุลจำปี (จำปีสิรินธร จำปีป่า จำปีถิ่นไทย จำปีดง จำปีแขก จำปีเพชร ) / แคนา / กัลปพฤกษ์ / ราชพฤกษ์ / สุพรรณิการ์ / เหลืองปรีดียาธร / มะหาด / มะขามป้อม / หว้า / จามจุรี / พลับพลา / กันเกรา / กะทังใบใหญ่ / หลุมพอ / กฤษณา / ไม้หอม / เทพทาโร / ฝาง / ไผ่ทุกชนิด / ไม้สกุลมะม่วง / ไม้สกุลทุเรียน และมะขาม
ใครที่กำลังมองหากล้าไม้ป่าเหล่านี้อยู่ สวนของเรามีกล้าพันธุ์เหล่านี้ พร้อมที่จะจัดส่งให้ลูกค้าได้ตลอด หากต้องการดูข้อมูลพันธุ์ไม้แต่ละชนิดก็สามารถอ่านได้จากคลังข้อมูลพันธุ์ไม้ของเว็บเรา นอกจากนี้สิ่งที่ควรรู้สำหรับใครที่กำลังจะนำต้นไม้ป่าไปค้ำประกับเงินกู้ เราก็มีเนื้อหาดี ๆ มาให้อ่านกัน ซึ่งเป็นข้อมูลจาก กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในหัว “ข้อการวางหลักประกันการชำระหนี้ โดยใช้ “ไม้ยืนต้น” ตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันทางธุรกิจ” โดยมีเนื้อหาพอสังเขปดังนี้
- หลักเกณฑ์ในการใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลักประกัน
- คุณสมบัติของผู้กู้
- คุณสมบัติของที่ดินแปลงที่ใช้ไม้ยืนต้นเป็นหลัก
ประกัน - การประเมินมูลค่าหลักประกัน
- วงเงินสินเชื่อ
- การรับไม้ยืนต้นเป็นหลักประกันการชำระหนี้
- การทบทวนราคาประเมินมูลค่าไม้ยืนต้น
- การประกันวินาศภัยไม้ยืนต้น
ปัญหาที่พบเจอและแนวทางแก้ไข สำหรับการปลูกไม้ป่า
ปัญหาอุปสรรค์ในแต่ะด้านจากที่พบเจอ เป็นสิ่งที่ลูกค้าควรจะพิจารณาว่า ที่ดินของตนมีความพร้อมที่จะปลูกไม้ป่าและไม้เศรษฐกิจหรือไม่ และควรมีการ ปรับปรุงและจัดเตรียมที่ดินอย่างไร มีดังต่อไปนี้น้ำท่วมและน้ำขังเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ต้นไม้ตาย โดยปกติลูกค้าส่วนมากมักจะกังวลการที่ต้นไม้จะขาดน้ำหรือน้ำจะไม่เพียงพอในการปลูกต้นไม้จำนวนมาก แต่พืชทั่วไปในประเทศเราโดยเฉพาะกลุ่มไม้ป่า หากได้ลงดินไปสักระยะหนึ่งแล้ว ก็จะสามารถทนต่อความแห้งแล้งได้นานหลายเดือน เนื่องจากใต้ดินนั้นมักจะไม่ได้แห้งแล้งเหมือนบนหน้าดินเช่นที่เราเห็น โดยเฉพาะหน้าดินที่เป็นดินเหนียว หากต้นไม้ได้หยั่งรากลงไปแล้ว เค้าสามารถดูดซับน้ำจากใต้ดินได้ หรือหากพื้นที่นั้นแห้งแล้งมาก ๆ ต้นไม้ส่วนมากก็จะมีกระบวนการเอาตัวรอดอย่างการทิ้งใบเพื่อช่วยลดการคายน้ำและรักษาชีวิตของตนให้อยู่รอดได้ แต่อาจจะมีผลต่อการการเจริญเติบโตของต้นไม้ อาจจะไม่ค่อยโตหรือโตช้ามาก
ตรงกันข้ามกับการเจอน้ำท่วม ไม้ป่าส่วนมากโดยเฉพาะต้นที่เล็ก ๆ ที่อายุยังไม่ถึงปีนั้น หากปล่อยให้น้ำท่วมขัง ระบบรากจะขาดออกซิเจนและไม่สามารถหาแร่ธาตุไปเลี้ยงส่วนอื่น ๆ ของต้นได้ ทำให้ต้นไม้สังเคราะห์แสงไม่ได้และไม่สามารถผลิตอาหารกลับไปเลี้ยงส่วนรากด้วย ต้นไม้ส่วนมากจากประสบการณ์ที่สวนเราได้ทำการปลูกทั้งในพื้นที่ของตนเองและพื้นที่ของลูกค้าจึงมักจะตายจากน้ำท่วมขัง มากกว่าจากการขาดน้ำ หรือหากไม่ตายก็ใช้เวลาค่อนข้างนานในการสร้างรากใหม่มาทดแทนรากเก่าที่เสียไป และต้นไม้ ก็จะโตช้ามาก เพราะส่วนที่อยู่บนดิน ไม่สมส่วนกับส่วนที่อยู่ใต้ดิน
ปัญหาเกี่ยวกับการจัดการพื้นที่ไม่เหมาะสม และแนวทางแก้ไข
ปัญหาที่เกิด
ปัญหาที่ลูกค้าส่วนใหญ่เจอคือ ยังไม่มีข้อมูลอย่างเพียงพอสำหรับพื้นที่ ที่จะใช้เพาะปลูกกล้าไม้ป่า ไม่ว่าจะเป็นสภาพดิน ฤดูการที่สามารถสร้างความเสียหายให้กับสวนของเราได้ ดังนั้นขั้นแรก Kaset today แนะนำให้ลูกค้าสำรวจพื้นที่ตัวเอง อย่างน้อย ต้องให้ผ่านสัก 1 ฤดูฝน หรือฤดูทำนา ทำสวน จะได้ทราบว่าที่ของเรา เมื่อฝนตกลงมาเยอะ ๆ มีน้ำท่วมขังแค่ไหน ต้องทำคันดินกั้นน้ำอย่างไรบ้าง เพื่อไม่ให้น้ำสามารถมาขังในแปลงต้นไม้ของเราได้อย่างเด็ดขาด และก็สามารถสำรวจไปในตัวว่าที่ดินแปลงปลูกของเรานั้นเป็นที่ลุ่มหรือที่ดอนอย่างไร เทียบกับที่ข้างเคียง น้ำสามารถระบายออกได้ทางไหนบ้าง เพื่อที่จะได้วางแผนระบบน้ำ และการเตรียมพื้นที่ปลูกในขั้นต่อไป
วิธีแก้ปัญหา
การขุดร่อง
การขุดร่องเพื่อนำดินมาโปะทำคันดิน เป็นประโยชน์อย่างมาก และเป็นวิธีแรกที่ทางเราจะแนะนำลูกค้าเสมอ โดยหากที่ดินของลูกค้าเป็นที่ที่ไม่ต่ำมาก และน้ำไม่ท่วมขังอยู่แล้ว หรือท่วมขังได้ไม่มาก อาจจะใช้รถแทรกเตอร์ติดผานไถ ไถหลาย ๆ ครั้งให้เกิดร่องดินที่ลึกและมีเนินดินที่สูงเพียงพอที่จะปลูกพืชแล้วน้ำไม่ท่วมราก แต่หากที่ดินของลูกค้าเป็นที่ลุ่ม โดยเฉพาะที่ที่ดินที่นา อาจจะต้องใช้รถขุดดิน (รถแบคโฮ,แมคโคร) ในการขุดร่องและทำเนินดิน โดยเพื่อเป็นการประหยัดค่าเครื่องจักรและแรงงานในการทำคันดินและร่องน้ำ เราสามารถขุดร่องในลักษณะแถวเว้นแถวได้ โดยบนคันดินเราก็ทำกว้างขึ้น 2 เท่า และปลูกต้นไม้ได้ 2 แถว ต่อ 1 คันดิน โดยแต่ละฝั่งนั้น ก็ปลูกให้ชิดร่องน้ำได้เลย แล้วเว้นพื้นที่ว่างตรงกลางเอา
การปูแผ่นพลาสติก
การปูทับด้วยแผ่นพลาสติสีดำ เหมาะสำหรับพืนที่ที่เคยเป็นพื้นที่นา หรือเป็นดินถม และมีวัชพืชขึ้นเป็นจำนวนมาก การปูทับด้วยแผ่นพลาสติกจะทำให้วัชพืช เช่นหญ้าโตมาปกคลุมกล้าไม้ ทำให้กล้าไม้ของเราไม่ได้รับแสงแดด และยังทำให้ง่ายต่อการกำจัดวสัชพืชอีกด้วย หากไม่มีการคลุมผ้าใบ หญ้าจะโตเร็วมากจนปกคลุมทั้งแปลง ทำให้ไม่สามารถเห็นแนวต้นไม้ และทำให้การตัดหญ้าทำได้ยากมาก และมีความเสี่ยงตัดไปโดนต้นไม้ก็สูง ข้อแนะนำอีกอย่างในการต่อสู้กับหญ้าหรือวัชพืชอื่นๆก็คือ เราควรหากล้าที่มีความสูงเกินกว่าวัชพืชที่ขึ้นบริเวณนั้นมาปลูก เพื่อให้กล้าไม้ปลอดภัยจากการถูกวัชพืชปกคลุม และทำให้กล้าไม้ได้รับแสงแดดอยู่ตลอด
โดยคันดินที่ทำขึ้นนั้นมีประโยชน์ 2 อย่าง ที่ตอบโจทย์การปลูกพืชอย่างมาก คือ ช่วยให้ต้นไม้รอดพ้นจากการถูกน้ำขัง ทำให้รากไม่เสีย และร่องน้ำที่อยู่ติดคันดินนั้นจะช่วยให้เป็นแหล่งที่สุดยอดให้แก่พืช โดยเมื่อรากของพืชโตไปถึงแหล่งน้ำ (ร่องน้ำ) ตรงนั้นแล้ว พืชจะสามารถเอาน้ำมาใช้เป็นอาหารได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องรอฝนตก ไม่ต้องระบบน้ำที่เราจะต้องทำให้ เพียงแต่คอยดูให้ร่องน้ำมีน้ำอยู่เสมอ พืชก็จะไม่หยุดการเจริญโต สามารถโตต่อเนื่องได้ทั้งปี และคนปลูกก็ประหยัดในเรื่องของระบบน้ำและแรงงานในการรดน้ำด้วย
ต้นทุนในการทำคันดินแม้จะแพง (1 ไร่ มีต้นทุนตั้งแต่ 1000 – 5000 บาท แล้วแต่พื้นที่และเครื่องมือที่ต้องใช้) แต่การทำเช่นนี้จะสามารถทำให้ต้นไม้ได้เติบโตอย่างเต็มที่ ตลอด 20-30 ปีที่เราปลูก และไม่ต้องจัดทำระบบน้ำ และไม่ต้องมีผู้ดูแลเรื่องน้ำ สำหรับผมแล้วคิดว่าคุ้มค่ามากๆ (ดูขนาดต้นไม้ ที่สวนเราปลุกเอง กลุ่มที่อยู่ในที่นา โดยทำระบบน้ำกับที่ปลูกบนดันดินได้เลย)
เปรียบเทียบต้นจามจุรีที่สวน ระหว่างต้นที่ปลูกในพื้นที่นาเก่าน้ำท่วมขังมาก่อนกับต้นที่ปลูกบนคันนา ใช้ระยะเวลาในการปลูกเท่ากัน แต่จะเห็นว่าต้นเจริญเติบโตได้ต่างกันค่อนข้างชัดเจน
การวางลำดับการปลูกที่เหมาะสม
ต้นไม้โดยทั่วไปจะมีรูปทรงเปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมที่เค้าอยู่ อย่างเช่นหากเราปลูกในลักษณะ 2×2 เมตร ซึ่งจะได้ต้นไม้ประมาณ 400 ต้น ต่อ 1 ไร่ ต้นไม้ก็จะมีลักษณะลำต้นผอมสูง ไม่มีกิ่งก้านมากนัก เนื่องจากต้องแข่งกันสูงและแข่งกันแตกกิ่งเพื่อมุ่งหาแสงอาทิตย์ที่มาจากด้านบน
ในทางตรงกันข้ามหากเราต้องการต้นไม้ที่มีลักษณะลำต้นอวบอ้วนขึ้น เราจะต้องปลูกให้ระยะห่าง ๆ กันประมาณนึง โดยระยะไกลที่สุดที่ทางเราแนะนำคือระยะ 4×4 เมตร ซึ่งจะสามารถปลูกได้ต่อไร่ประมาณ 100 ต้นพอดี ซึ่งเป็นจำนวนมาตรฐานขั้นต่ำสุดในการปลูกพืชเศรษกิจต่อไร่ “ที่จะได้รับการลดหย่อนภาษีมาจ่ายในอัตรา 0.1%”
*** เพราะฉะนั้นหากเราปลูกห่างมากกว่านี้โดยมีจำนวนต้นไม้น้อยกว่า 100 ต้นต่อไร่ก็จะไม่ได้รับการงดเว้นภาษี ***
ปัญหาเกี่ยวกับน้ำในการปลูกกล้าไม้ป่า หรือ ไม้เศรษฐกิจ
ปัญหาที่เกิดจากต้นไม้ขาดน้ำ
ต้นไม้ที่ขาดน้ำหรือได้รับน้ำไม่เพียงพอ ส่งผลอย่างมากต่อการเจริญเติบโตของต้น โดยเฉพาะไม้ป่าแล้วน้ำถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ปลูกต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรกพอ ๆ กับเรื่องพื้นที่ปลูก
ปัญหาต้นไม้ขาดน้ำก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญถึงแม้ว่าเราจะทำร่องน้ำแล้ว แต่ในช่วงแรกที่รากต้นไม้ยังไปไม่ถึงร่องน้ำ ต้นไม้ก็ยังต้องการน้ำและความชุ่มชื้นในดินเพื่อเอาน้ำมาเข้ากระบวนการสร้างอาหารเพื่อการเจริญเติบโตและมีชีวิตอยู่ต่อไป ในส่วนนี้ทางเราจึงอยากแนะนำ “ให้เริ่มปลูกต้นไม้ในช่วงฤดูฝน” ที่เป็นฤดูฝนเต็มตัวแล้วและไม่มีการทิ้งช่วงหรือทิ้งช่วงน้อย ตั้งแต่ช่วงปลายมิถุนายน เป็นต้นไปจนกว่าจะหมดฤดูฝนช่วงเดือนตุลาคม โดยที่เราจะได้ไม่ต้องเสียต้นทุนในการเดินระบบน้ำ ซึ่งมีต้นทุนสูงอยู่พอสมควร แต่หากลูกค้าท่านใด ไม่สามารถรอจนถึงฤดูฝนดังกล่าวได้ อาจจะต้องปลูกพร้อมจัดทำระบบน้ำไปพร้อมกันก็ไม่มีปัญหา เป็นวิธีการรับมืออีก 1 วิธีหากฝนไม่ตกตรงตามฤดูการ
ภาพเปรียบเทียบต้นที่ได้รับน้ำไม่เพียงพอเนื่องจากระบบน้ำหยดในแปลงมีปัญหา จึงไม่สามารถให้น้ำได้ กับ ต้นที่ปลูกบนคันดินซึ่งมีคูน้ำอยู่ข้างๆโดยรากต้นไม้เมื่อโตไปจนถึงคูน้ำแล้วสามารถดูดน้ำขึ้นมาใช้ได้ตลอดเวลาเท่าที่ต้นไม้ต้องการ
ปัญหาที่เกิดจากต้นไม้ได้รับน้ำมากเกินไป
นอกจากปัญหาที่เกิดจากน้ำไม่พอต่อการเจริญเติบโตของต้นกล้าไม้ป่าแล้วนั้น การที่ต้นไม้ได้รับน้ำมากไปนั้น เรียกได้ว่า “น่ากังวลกว่า” เพราะหากต้นไม้ขาดน้ำ พวกมันจะมีกลไกในการลดการคายน้ำ นั้นคือการสละใบทิ้ง และรอแตกใหม่ในหน้าฝน หรือช่วงที่มีอากาศชื้น
แต่ถ้าบริเวณทีร่ปลูกต้นไม้นั้น เราไม่ได้เตรียมพื้นที่ปลูกให้ดี ไม่มีทางระบายหรือเก็บน้ำ หรือแม้แต่ไม่ได้ศึกษาว่าพื้นที่ของเรานั้นหากมีฝนตกลงมา จะมีน้ำท่วมขังรึเปล่า ซึ่งมีนักปลูกมือใหม่หลายคนที่ต้องเผชิญหน้ากับสภาพน้ำท่วม และเป็นสิ่งที่พวกเขากังวลกว่าการที่ไม่มีน้ำรดต้นไม้อีก เพราะ แกติถ้าไม่มีฝนตกลงมา แต่ใต้ดินก็ยังมีความชื้น ทำให้ต้นไม้อาจจะรอดและอยู่ในช่วงชะลอการเจริญเติบโต
แต่ถ้าในสวนของเราเกิดน้ำท่วม และท่วมเป็นเวลานาน เช่น ท่วมมากกว่า 2 สัปดาห์ ต้นไม้พวกนนี้ก็จะเริ่มมีอาการ ใบเหลือง ใบร่วง และที่หนักสุดคือ “รากเน่า” แต่ก็มีพันธุ์กล้าไม้ที่ยังทนสภาพน้ำท่วมได้ดี คือ ต้นยางนา ต้นมะฮอกกานี เกด สัก แต่ทางที่มีที่สุดคือ เราควรหาวิธีควบคุบน้ำในพื้นที่ของเราเพื่อให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดีที่สุด
วิธีแก้ปัญหาเรื่องน้ำ
การทำระบบน้ำหยด
การทำระบบน้ำหยด เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยทุนแรงในการเดินรดน้ำ และยังเป็นตัวเลือกที่ดี สำหรับเอามาปรับใช้ในไรปลูกไม้ป่า โดยเฉพาะในช่วยหน้าแล้ง เราสามารถกำหนดช่วงเวลาในการรดน้ำต้นไม้ได้ หัวใจสำคัญของระบบแบบหยดคือ “ทำให้ดินชุ่มชื้นตลอดเวลา”
แต่ใช่ว่าระบบน้ำหยดจะไม่มีข้อเสียเลยที่เดี่ยว แต่มีอะไรบ้างเรามาดูกัน
- ต้องในเงินจำนวนมากในการซื้ออุปกรณ์ในการทำระบบ และยังเสียงค่าน้ำเป็นจำนวนมาก
- ในการปลูกต้นไม้มากกว่า สองไร่ขึ้นไป มักจะมีปัญหาเรื่องการดูแล บางทีหนูกัดท่อ pe ขาดไป ก็ทำให้ระบบน้ำ ไม่สามารถทำงานได้ ต้นไม้หลายส่วนไม่ได้รับน้ำ โดยที่เราก็ไม่สามารถตรวจสอบได้เลย
- ปัญหาเรื่องหัวน้ำหยดตัน หากแหล่งน้ำของเรา ไม่ได้มีระบบการกรองน้ำที่ดีจริง ไม่ได้เป็นแท้งน้ำ แต่เป็นบ่อผ้าใบ ก็ยากมากที่จะป้องกันไม่ให้มีตะกอนดิน หรือฝุ่นต่างๆ ลงไปผสมกับน้ำในบ่อ ซึ่งเป็นสามารถทำให้ หัวน้ำหยดตันได้ และในกรณีที่ปลูกต้นไม้แปลงไหญ่ แทบไม่มีทางที่เราจะเดินตรวจหัวน้ำหยดได้เลย
- วัชพืช เช่น หญ้า ต้นเซ่ง หรือพืชไม้เลื้อย ตำลึง ต่าง ๆ จะโตจนเกี่ยวและทับถมสาม pe จนแทบไม่เห็นสายและหัวน้ำหยด ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ทำให้การดูแลรักษา จัดการระบบน้ำยากขึ้นเป็นทวีคูณ
การทำระบบสปริงเกอร์
เป็นระบบที่ดูแลรักษาง่ายที่สุดเท่าที่เราได้ทำมาในตอนนี้ แต่ต้นทุนก็แพงว่าระบบน้ำหยดท่อ pe และต้องอาศัยแหล่งน้ำขนาดที่ไหญ่กว่ามาก เพราะจะมีน้ำหลายส่วนที่สียเปล่าโดยที่พืชหลักที่เราปลูกไม่ได้ใช้ประโยชน์ และระบบสปริงเกอร์ก็ทำให้หญ้าซึ่งเป็นวัชพืชโตเร็วมาก แต่ระบบนี้ก็มีข้อดีคือ หากมีจุดไหนที่สปริงเกอร์เสียหาย เราก็จะรู้ได้ในทันที ไม่เหมือนระบบน้ำหยด ที่หากมีจุดไหนที่ท่อมีการอุดตัน น้ำไม่สามารถไหลออกมาได้ เราต้องไล่หาเป็นจุด ๆ ซึ่งใช้เวลานาน และไม่ครอบคลุม
การทำระบบเครื่องรถน้ำแบบเรือ
ระบบเครื่องรถน้ำแบบเรือ เป็นระบบการรดน้ำที่นิยมใช้กันมากในเกษตรกรไทย เป็นวิธีที่สะดวกมาก หากเราสามารถขุดร่องน้ำทำคันดิน และมีน้ำใช้ในร่องตลอดทั้งปี ใช้เครื่องร้ำน้ำที่มีลักษณะคล้ายเรือ วิ่งไปตามร่องน้ำเพื่อให้สามารถรดน้ำได้อย่างทั่วถึง ซึ่งวิธีนี้เหมาะกับคนมีพื้นที่มาก สามารถขุดยกรอ่งเพื่อสร้างแหล่งน้ำไว้ใช้ได้ สะดวกสบายมาก ๆ ไม่ต้องรอหน้าฝนเลย
การทำระบบคนถือสายยางเดินรด
ระบบคนถือสายยางเดินรด ในพื้นที่ขนาดใหญ่ก็จะมีปัญหาในเรื่องการจัดการสายยาง สายยางทับต้นไม้ สายยางม้วน ดังนั้นวิธีแก้ไขคือ รอบๆ สวนควรมีก๊อกน้ำกระจายเป็นระยะ ๆ เพื่อสะดวกต่อการรดน้ำ และทำให้แรงดันน้ำไม่ตกเนื่องจากสายยาวเกินไป
4. ปัญหาไฟใหม้
สำหรับบางคน โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้มีพื้นฐานในกาสรทำการเกษตรมา อาจจะมองว่าปัญหาไฟ เป็นเรื่องไกลตัว แต่จริงๆแล้ว เป็นปัญหาหลักที่เกิดขึ้นได้เป็นประจำในการปลูกต้นไม้ เนื่องจากเกษตรโดยเฉพาะในกลุ่มที่ทำนาและพืชไร่ เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตเสร็จแล้ว มักจะใช้การเผา เพื่อกำจัดลำต้นของพืชผลที่ตกค้างอยู่บนแปลงก่อนที่จะทำการเกษตรในรอบต่อไป
และด้วยเหตุนี้ หากเราไม่เว้นระยะห่างจากแปลงข้างๆ ให้มากพอ หรือไม่ได้ทำคูน้ำโดยรอบไว้ ในการปลูกต้นไม้ระยะเวลา 20-30 ปี ของเรา ก็อาจจะพลาดท่า โดนไฟเผาหายมอดไปกับตาได้ โดยที่ไปตามเอาผิดให้ใครชดใช้ไม่ได้เลย เพราะเกษตรกรส่วนมากนอกจากจะไม่มีทรัพย์สินแล้ว ยังมีหนี้สินเป็นจำนวนมากอีกด้วย เพราะฉะนั้นเราควรคิดป้องกันในจุดนี้ไว้ตั้งแต่เริ่มก่อนลงปลูกต้นไม้
5. ปัญหาวัชพืช
ปัญหาเรื่องวัชพืชในสวน นับว่าเป็นปัญหาใหญ่เลยทีเดียว เพราะเป็นเรื่องที่จัดการได้ยาก และใช้เวลานาน และในบางครั้งการกำจัดวัชพิชก็ต้องทำหลายครั้ง ใช้แรงงานมาก และเสียงเงินเยอะ แต่ก็มีวิธีจัดการ แม้จะไม่ถาวรแต่ก็ช่วยได้มาก คือ
– การใช้ยาฆ่าหญ้านั้นจะมีผลเสียต่อตัวคนฉีดและต้นไม้ด้วย สารเคมีที่ตกค้างอยู่บนหน้าดิน ก็จะถูกดูดซึมโดยรากของต้นไม้เข้าไปในระบบอาหารของต้นไม้ซึ่งจะไม่ส่งผลดีแน่
– การใช้แรงงานคนในการตัด ดูจะเป็นสิ่งที่ง่าย แต่ว่าก็เปลืองงบประมาณมากพอสมควร เนื่องจากการรับจ้างตัดหญ้าในแปลงต้นไม้นั้น สูงถึงไร่ละ 500-1000 บาท เนื่องจากคนตัดไม่สามารถใช้เครื่องจักรไหญ่เช่น รถไถติดหางตัดหญ้าเข้ามาตัดตามร่องแต่ละร่องได้ แต่ต้องใช้เครื่องตัดหญ้าสะพายบ่า ซึ่งหาแรงงานได้ยากกว่าแล้วก็ราคาแพงกว่า และโอกาสที่จะตัดไปโดนต้นไม้ของเราก็สูงพอสมควร
– การลงทุนเพิ่มขึ้นโดยการซื้อ กล้าไม้ที่สูงหน่อย ระดับประมาณ 1.5-2 เมตรก็เป็นวิธีที่ดีมาก ตุ้มถุงที่ใหญ่กว่า ช่วยให้ต้นไม้ตั้งตัวได้เร็ว และความสูงที่มากกว่าก็ช่วยให้ต้นไม้ สามารถรับแสงแดดได้เต็มที่ไม่โดนหญ้าหรือวัชพืชล้อมและกลืนไป
–การใช้พลาสติกคลุมดิน คลุมบริเวณโคนและคลุมเป็นแถวก็ช่วยป้องกันวัชพืชได้ดี และยังช่วยให้การกำจัดวัชพืชทำได้ง่ายขึ้นมากอีกด้วย เพราะสามารถทำให้เห็นแนวต้นไม้และแนวหญ้าที่แบ่งกันอย่างชัดเจน
6. ปัญหาจากลม และต้นไม้โค่นล้ม
โดยปกติปัญหานี้จะไม่ค่อยเกิดกับการปลูกต้นไม้ขนาดความสูงไม่เกิน 50 ซม สักเท่าไหร่ แต่ปัญหาของต้นกล้าขนาดเล็กนั้นจะเป็นเกี่ยวกับเรื่องการกำจัดวัชพืชเสียมากกว่า โดยหากท่านปลูกต้นขนาดความสูง 1-2 เมตร ก็มีโอกาสสูงที่ต้นไม้จะโค่นล้มจากลมได้ กรณีนี้อาจจะใช้ไม้ไผ่ (ไม้รวก) เจาะรูตรงกลางสัก 1 รู มาปักลงไปในดินให้ลึกประมาณครึ่งหนึ่งของความสูงไม้รวก คู่กับต้นไม้แต่ละต้น และใช้เชือกมัดฟางซึ่งมีความทนทานต่อแดดและฝนไม่ย่อยสลายง่ายร้อยลอดรูที่เจาะเอาไว้ และ ผูกต้นไม้ไว้หลวม ๆ เพื่อป้องกันต้นไม้ล้มจากแรงลม
ปลูกไม้อะไรขายได้ราคาดี แหล่งซื้อขายไม้ที่น่าเชื่อถือ
นอกจากที่เราจะปลูกกล้าไม้ป่าแล้ว จุดหมายของเราคือการปลูกเพื่อขายเนื้อไม้ แต่ว่าเราจะไปขายที่ไหนดีละ ดังนั้น Kaset today จึงคัดบริษัทรับซื้อเนื้อไม้ที่มีความน่าเชื่อถือมาเสนอให้กับนักอ่านทุกคนกัน
1. บริษัท เอ.พี.เค. เฟอร์นิซิ่ง พาราวู้ด จำกัด (รายละเอียดเพิ่มเติม)
เป็นบริษัทที่มีสาขาทางภาคใต้เป็นหลัก รับซื้อไม้หลักเลยคือต้นยางพารา
2. บริษัท โสภณพาราวู้ด จำกัด (รายละเอียดเพิ่มเติม)
เป็นบริษัทที่ทั้งรับซื้อและขายเนื้อไม้ และไม้หลักของบริษัทนี้จะเป็นไม้พารา
3. รับซื้อไม้สักสวนป่า และขายไม้สักท่อนซุง (รายละเอียดเพิ่มเติม)
เป็นเพจที่เปิดใน facebook มีความน่าเชื่อถือ มีทีมงานที่สามารถไปประเมินสภาพและราคา รับซื้อไม้สักเป็นหลัก ใครอยากขายไม้สัก ที่น่าก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดี
4. ตลาดกลาง ซื้อขาย ไม้พยุง ยางนา ไม้มงคลทุกชนิด ถูกกฎหมาย (รายละเอียดเพิ่มเติม)
ตลาดกลางเป็นเป็นเพจที่มีการซื้อขาย-แลกเปลี่ยน เป็นกลุ่มที่ขายไม้แบบถูกกฎหมาย หากใครสนใจที่จะรับซื้อ หรือขายไม้ ก็สามารถนำรูปไปโพสขายได้ รับซื้อและขายไม้ทุกชนิด เช่น สักทอง พยุง ประดู่ ตะเคียน เป็นเพจที่น่าสนใจ
5. กลุ่มซื้อขาย-ไม้ประดู่ ในเอกสารสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมาย (รายละเอียดเพิ่มเติม)
กลุ่มนี้เน้นการซื้อขายไม้ประดู่โดยเฉพาะ มีการกำหนดราคาตามขนาด สามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้ มีความน่าเชื่อถือสูง
6. กลุ่มซื้อขายไม้ประดู่ไม้มงคลไทยและไม้ทั่วไปที่ตลาดต้องการ (รายละเอียดเพิ่มเติม)
ตลาดรับซื้อของกลุ่มนี้เน้นไม้ประดู่เป็นหลัก แต่ก็รับไม้อื่น ๆ ที่เป็นไม้เศรษฐกิจ และไม้มงคลเช่นกัน พวกไม้กฤษณา
7. บริษัท ไทยไม้ซุง จำกัด (รายละเอียดเพิ่มเติม)
บริษัทนี้มีการจดทะเบียนเรียบร้อยมีคววามน่าเชื่อถือมาก โดยทางบริษัทเน้นการรับซื้อไม้ยางพาราและไม้เบญจพรรณเป็นหลัก
หากใครอ่านมาถึงตรงนี้ และเริ่มเกิดความสนใจในแวดวงการปลูกไม้ป่าแล้ว แต่ยังไม่รู้จะไปซื้อกล้าไม้ที่ไหน หรือปลูกยังไง Kaset today เว็บไซต์ต้นไม้ยืนหนึ่งของประเทศไทย และเป็นแหล่งซื้อกล้าไม้ที่มีราคาย่อมเยา
อีกทั้งทางเราพร้อมให้ความสนับสนุนและให้บริการปลูกแก่ลูกค้าทุกคนที่ต้องการสร้างรายได้ในธุรกิจนี้ ได้เติบโตไปพร้อมกัน และถ้ามีข้อสงสัย หรือคำถามอะไรก็สามารถทักหาได้ได้ตลอดเลย ทางเรามีบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านการเตรียมพื้นที่ปลูก และพร้อมลงกล้าไม้ให้
อีกทั้งยังมีบริการหลังการขายที่คุ้มค่ากับลูกค้าอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการรับประกันต้นไม้ 1 ปี และตอบคำถามของลูกค้า เช่น การปลูก การเลี้ยงดู การใส่ปุ๋ย หากลูกค้ามีคำถามอะไรทางเรายินดีให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่
ช่องทางการสอบถามหรือสั่งซื้อ
Line: @kasettoday
โทร. 092 475 8787
Facebook: kaset.today
พิกัดสวน: เขาตีหิน บ้านชี อำเภอบ้านหมี่ ลพบุรี
(ใกล้วัดถ้ำโพธิญาณ)