โรค ราน้ำค้าง โรคระบาดสร้างความเสียหายต่อพืชที่ต้องระวัง

โรค ราน้ำค้าง เป็นปัญหาใหญ่สำหรับชาวเกษตรกรเป็นอย่างมาก เนื่องจากอาจจะทำให้ผลผลิตของชาวเกษตรกรที่เสียหาย ทำให้รายได้ลดน้อยลงไปอย่างมาก เช่น กุหลาบ กะหล่ำปลี ข้าวโพด ถั่วเหลือง แตงกวา องุ่น แคนตาลูป แตงโม เป็นต้น ซึ่งถ้าชาวเกษตรกรได้มีแปลงผักที่มีความชื้นสูง และยิ่งในช่วงหน้าฝน หรือหน้าหนาวที่มีหมอกลงจำนวนมาก จะยิ่งเสี่ยงต่อการติดโรคราน้ำค้างมากยิ่งขึ้น ถ้าเกิดโรคราน้ำค้างที่แปลงผักแล้ว จะทำให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิตได้มากกว่า 50-75% เลยทีเดียว ยิ่งถ้าเกิดความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมแล้ว จะยิ่งแก้ไขยากมากขึ้นเท่าตัว ซึ่งใช่ว่าจะแก้ไขไม่ได้ แต่ถ้าสามารถป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด

สาเหตุ ลักษณะอาการและการแพร่ระบาด

สาเหตุของโรค ราน้ำค้าง

จากสถาบันการวิจัยเทคโนโลยีเกษตร ๆได้มีการรายงานว่า โรคราน้ำค้าง เป็นโรคพืชชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อรา Pseudoperonospora cubensis ซึ่งพบว่าระบาดมากในพืชตระกูลแตง ซึ่งเป็นเชื้อราที่จัดอยู่ในชั้นต่ำอยู่ในดิวิชั่น Eumycota ดิวิชั่นย่อย Mastigomycotina ชั้น Oomycetes อันดับ Peronosporales วงศ์ Peronosporaceae เป็นปรสิตถาวร (Obligate Parasite) ลักษณะของเชื้อราชนิดนี้ จะเป็นเส้นใยที่ไม่มีสี ไม่มีผนังกั้นตามขวาง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงแค่ 5.4-7.2 ไมโครเมตร อวัยวะสำหรับการดูดน้ำเลี้ยงจากเซลล์พชื (Haustorium) มีรูปร่างกลม (Knob-Like) จนถึงยาวคล้ายนิ้วมือ (Digitate) ก้านชูสปอร์แรงเจียม (Sporangiophore) มีความยาวประมาณ 180-400 ไมโครเมตร มีความกว้างประมาณ 5-7 ไมโครเมตร ส่วนโคนโป่งออกเล็กน้อย ส่วนปลายแตกแขนง จะมีสีอ่อนมาก โดยเชื้อราจะเข้าทำลายบริเวณส่วนใบ ซึ่งเปรียบเสมือนแหล่งผลิตอาหารของพืช เป็นผลทำให้อัตราการสังเคราะห์แสงลดน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะปลายของการระบาดของโรคราน้ำค้าง จะส่งผลให้ปริมาณของคลอโรฟิลล์ในใบพืชลดต่ำลงเรื่อยๆ

ราน้ำค้าง เมล่อน
http://sansai.chiangmai.doae.go.th/

ลักษณะอาการของโรคราน้ำค้าง

จากการที่ทางสำนักงานเกษตรจังหวัดตราด ได้มีการตรวจสอบแล้วพบว่าเกิดการระบาดของศัตรูพืชอย่างโรคราน้ำค้าง จะมีอาการที่ค่อนข้างชัดเจนมาก ทำให้สังเกตเห็นได้ง่าย คือ ใบของพืชจะมีสีเหลืองเป็นแถบยาว ด้านหลังของใบจะมองเห็นกลุ่มของเส้นใยหรือบางครั้งมองไม่เห็นด้วยตา ถ้ามีอาการรุนแรงขึ้นบริเวณที่เป็นสีเหลืองเป็นแถบจะกลายเป็นสีน้ำตาล หรือน้ำตาลเข้ม ไปจนถึงสีดำ มีแผลสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลอ่อนประปรายทั่วไป ทำให้ใบแห้งและเหี่ยว ถ้าในช่วงอากาศชื้น หากดูบริเวณหลังใบจะมีผงสีขาวของเชื้อราน้ำค้างเต็มไปหมด ถ้าโรคน้ำค้างเกิดขึ้นกับผลไม้ จะทำให้ผลไม้มีความหวานลดน้อยลง และมีขนาดเล็กมาก แคระแกรน ใบลีบเล็ก บิดเบี้ยว และมีคุณภาพต่ำ

ราน้ำค้างบนพืชตระกูลแตง

การแพร่ระบาดของโรค

ทั้งนี้ทางสำนักงานเกษตรจังหวัดตราด ยังได้ออกมาบอกอีกว่า โรคราน้ำค้างในพืชนั้น สามารถเจอได้ในทั่วไป ซึ่งเชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดีในที่มีอุณหภูมิประมาณ 16-22 องศาเซลเซียส และมีความชื้นที่สูงมาก ยิ่งถ้าหากมีตัวกลางที่ช่วยในการแพร่กระจายจะยิ่งทำให้การแพร่กระจายอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวกลางที่ว่านั้น ได้แก่ หมอก น้ำค้าง หรือฝนตกอย่างหนัก อีกทั้งยังมีตัวกลางอย่างลมที่ช่วยพัดพาสปอร์ขนาดเล็กไปตามความแรงลมและความเร็วไปได้ไกลยิ่งขึ้น และตัวกลางตัวสุดท้าย คือ แมลง ที่จะมากินน้ำหวานจากเกสรดอกไม้ ซึ่งส่วนต่างของร่างกายแมลงอาจจะไปติดกับสปอร์ของเชื้อราน้ำค้าง และเมื่อแมลงบินไปที่พืชชนิดอื่นๆก็สามารถทำให้เกิดการแพร่กระจายได้ แมลงที่เป็นตัวกลางในการแพร่เชื้อ ได้แก่ ด้วงเต่าแตง แมลงปอ แมลงเต่าทอง เป็นต้น

ราน้ำค้าง ฟักทอง
https://farmerspace.co/

การป้องกันกำจัด

จากการที่มีงานวิจัยในเรื่องของ “ประสิทธิภาพของสารป้องกันกำจัดเชื้อราบางชนิดในการป้องกันกำจัดโรคราน้ำค้างของแตงกวา” ของคุณพัชรา ปัจสมานวงศ์ และคณะได้ทำการวิจัย ได้พบถึงวิธีที่สามารถป้องกันและแก้ไขโรคราน้ำค้าง ดังนี้

  1. เลือกพันธุ์ไม้ที่สามารถต้านทานโรคราน้ำค้างได้
  2. ในการปลูกพืชจะต้องมีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 5-6 เมตร สำหรับพืชที่โตไปเป็นพุ่มไม้ใหญ่ แต่สำหรับพืชขนาดเล็ก ให้เว้นระยะห่างประมาณ 3-5 เมตรก็เพียงพอแล้ว ในการเว้นระยะห่าง เพื่อเป็นการลดความชื้นที่จะเกิดขึ้น
  3. ก่อนปลูกพืชทุกครั้งควรจะต้องนำเมล็ดพันธุ์มาผสมกับเชื้อราไตรโคเดอร์ม่าหรือเชื้อแบคทีเรียบีเอส คลุกเมล็ดพันธุ์ด้วยสารเคมีเมตาแลกซิล 35% DS โดยใช้อัตรา 7 กรัม/เมล็ดพันธุ์ 1 กิโลกรัม
  4. นำเมล็ดพันธุ์ไปแช่ด้วยน้ำอุ่น ที่มีอุณหภูมิประมาณ 50-60 องศาเซลเซียส ทิ้งไว้ประมาณ 20-30 นาที
  5. ในการบำรุงรักษาพืชที่กำลังจะเจริญเติบโตนั้น จะต้องมีการปรับปรุงดิน ค่าความเป็นกรด-ด่าง และความสมดุลของแร่ธาตุในดิน ซึ่งการบำรุงรักษาที่นิยมใช้กันก็คือ การใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และปูนขาว
  6. การฉีดพ่นแร่ธาตุอย่างแคลเซียมทุกๆ 7-10 วัน และฉีดพ่นโบรอน ก่อนที่พืชจะออกดอกจำนวน 1-2 ครั้ง ให้แมกนีเซียมโดยการใช้ปูนโดโลไมด์ในขั้นตอนการเตรียมดิน
  7. เปลี่ยนวิธีรดน้ำจากสปริงเกอร์เป็นแบบรดน้ำโดยใช้กระบวยหรือถังรดน้ำทั่วไป เพื่อลดการแพร่กระจายของราน้ำค้าง
  8. สำหรับใบหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของพืช ที่มีอาการของโรคราน้ำค้าง จะต้องทำไปทำลายทิ้งโดยการเผาเท่านั้น
  9. หากพบใบหรือส่วนของพืช ที่มีอาการเริ่มต้น ควรจะฉีดพ่นด้วยคอปเปอร์อออกซีคลอไรด์ แมนโคเซบ  เมทาแลกซิล หรือเมทาแลกซิล+แมนโคเซบ เป็นต้น โดยที่ต้องฉีดสลับกันอย่างน้อย 2-3 ชนิด เนื่องจากเป็นการป้องกันเชื้อราต้านทานต่อสารเคมี
  10. วิธีที่ได้ผลมากที่สุดที่มีงานวิจัย ก็คือ ไซมอกซานิล (cymoxanil) 8% ผสมกับ แมนโคเซบ (mancozeb) 64% โดยใช้อัตราส่วนสารทั้งสอง 30 กรัมต่อน้ำปริมาณ 20 ลิตร ฉีดทุกๆ 5 วัน หรือใช้เป็น โครโรทาโลนิล (chlorothalonil) 75% WP อัตรา 60 กรัมต่อน้ำปริมาณ 20 ลิตร
วิธีแก้โรคราน้ำค้างแตงกวา
https://www.thaihealth.or.th/Content/

โรคราน้ำค้างบนพืชต่างๆ

โรคราน้ำค้างบนผัก

  • สาเหตุ จากหนังสือโครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร ได้มีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโรคราน้ำค้างที่เกิดบนผัก นอกจากโรคราน้ำค้างจะนิยมเกิดบนผลไม้แล้ว ก็ยังจะสามารถเกิดขึ้นกับผักได้อีกด้วย ซึ่งเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคราน้ำค้างได้แก่ Pseudoperonospora cubensis ซึ่งเป็นราที่สามารถสร้างเส้นใยแบบไม่มีผนังมากั้นตามแนวขวาง มีก้านชูสปอร์ สปอร์จะงอกแบชูสปอร์ ปลายมน มีรูปร่างคล้ายรูปไข่ กลม ไม่มีสี สปอร์จะติดอยู่ที่บริเวณปลายสุดของก้านชู
  • ลักษณะการเกิดโรค ที่ผักจะพบว่าจะมีสีเหลืองเป็นแถบๆบริเวณบนใบ แต่จะกลายเป็นสีน้ำตาลไปจนถึงสีดำบริเวณกลางแผล จะพบกับสปอร์สีเทาดำบริเวณแผลใต้ใบ แผลหรือจุดเหลืองมีลักษณะเป็นจุดเหลี่ยมอยู่ในขอบเขตของเส้นใบ ใบที่เป็นโรคค่อยๆแห้งลง แต่จะไม่หลุดจากต้น อาจจะแห้งไปจนตายได้เลยทีเดียว ทำให้ผักมีขนาดผลและใบที่ลีบ บิดเบี้ยว แคระแกร็นและมีคุณภาพต่ำ
  • วิธีการป้องกันและกำจัด เลือกเมล็ดพันธุ์ที่แข็งแรง ก่อนจะปลูกลงแปลงจะต้องผสมกับเชื้อราไตรโคเดอร์ม่าหรือเชื้อแบคทีเรียบีเอสก่อนเสมอ
ราน้ำค้างผัก

โรคราน้ำค้างบนลิ้นจี่

  • สาเหตุ จากคู่มือลิ้นจี่ นพ.1 ที่จัดทำโดยสำหนักงานคณะกรรมการพิเศษ เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) ได้นำเสนอเกี่ยวกับโรคราน้ำค้างลิ้นจี่ ซึ่งเกิดจากเชื้อราที่มีชื่อว่า Peronophethora Litchii ทำให้ลิ้นจี่มีอาการของโรคราน้ำค้าง
  • ลักษณะการเกิดโรค อาการ คือ จะมีแผลสีน้ำตาลดำ และส่วนขยายพันธุ์มีสีขาวฟูบนแผลในช่วงระยะหลังจากการติดเชื้อราน้ำค้าง เมื่อสภาพอากาศที่ชุ่มชื่นและฝนตกหนัก จนในบางครั้งอาจจะทำให้ผลผลิตอย่างลิ้นจี่เน่าเสีย มีสีน้ำตาลไปจนถึงดำ แผลค่อนข้างกลม เชื้อราจะสร้างเส้นใยบริเวณที่เปลือกผิวที่เป็นโรค ทั้งๆที่อยู่ในอุณหภูมิห้องอย่าง 25 องศาเซลเซียส โรคราน้ำค้างที่เกิดขึ้นกับลิ้นจี่จะสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วภายใน 2-3 วัน
  • วิธีการป้องกันและกำจัด บริเวณที่เป็นแผลหรือแสดงอาการของโรคราน้ำค้างให้เผาทำลายทิ้งทันที

โรคราน้ำค้างบนข้าวโพด

  • สาเหตุ จากหนังสือโครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร ได้มีการนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับโรคราน้ำค้างในข้าวโพด สำหรับโรคราน้ำค้างที่เกิดขึ้นกับต้นข้าวโพดนั้น เกิดจากเชื้อรา Peronosclerospora sorghi ซึ่งเชื้อราชนิดนี้ จะมีก้านชูสปอร์สำหรับแพร่กระจายที่ปลาย สปอร์จะมีสีใส ลักษณะคล้ายรูปไข่ เชื้อราชนิดนี้จะเข้ามาติดเชื้อข้าวโพดที่เป็นต้นอ่อนตั้งแต่อายุประมาณ 30-40 วัน ในช่วงฤดูฝนหรือช่วงที่มีอุณหภูมิต่ำและมีความชื้นสูง ข้าวโพดจะเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อราน้ำค้าง
  • ลักษณะการเกิดโรค อาการของโรคราน้ำค้างของข้าวโพด ก็คือ เป็นทางยาวสีเหลืองแคบๆ ไปตามความยาวของใบจะเห็นแผลแบบทางลายสีเหลือง เขียวอ่อน สลับกันเป็นทางยาว เมื่อทิ้งระยะเวลาห่างไปเรื่อยๆ รอยสีเหลืองจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเกิดเป็นอาการใบไหม้ แห้ง และต้นข้าวโพดตายไปในที่สุด
  • วิธีการป้องกันและกำจัด การฉีดพ่นแร่ธาตุอย่างแคลเซียมทุกๆ 7-10 วัน เผาทำลายส่วนที่เป็นโรคทิ้งทันที เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
ราน้ำค้างข้าวโพด
https://farmchannelthailand.com/main/

โรคราน้ำค้างบนโหระพา

  • สาเหตุ จาการระบาดที่เกิดขึ้นที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี ในช่วงเดือนมกราคมในปี 2558 ทำให้เกิดความเสียหายต่อพืชที่ชาวเกษตรกรได้ปลูกขึ้นทั้งแปลง จึงมีการตัดส่วนที่เป็นโรคราน้ำค้างออกทั้งหมด จนชาวเกษตรกรบางรายต้องมีการรื้อแปลงปลูกใหม่ทั้งหมด สำหรับราน้ำค้างจากเชื้อรา Peronospora sp.
  • ลักษณะการเกิดโรค สามารถติดได้ในทุกระยะการเจริญเติบโต แต่ส่วนมากต้นโหระพาจะเกิดขึ้นที่ใบ ซึ่งอาการของโรคราน้ำค้างของต้นโหระพา คือ ด้านบนใบเป็นจะมีสีเหลือง แผลที่เกิดขึ้นนั้นมักจำกัดด้วยเส้นใบบางครั้งเห็นแปลเป็นรูปเหลี่ยม ด้านบริเวณใต้ใบโหระพาจะพบกับเส้นใยและสปอร์ของเชื้อราสีน้ำตาลถึงน้ำตาลเข้มปนดำปกคลุมทั่วแผล ถ้ารุนแรงมากจะแห้งจนตายได้ โดยเฉพาะในระยะกล้าหรือต้นเล็กจะแห้งตายทั้งต้น สำหรับเชื้อรา Peronospora sp. จะสามารถแพร่กระจายโดยติดไปกับเมล็ดพันธุ์หรือกระแสลม โดยเมื่อสปอร์แก่จะหลุดออกจาก้าน สปอร์ได้ง่ายและลมสามารถพัดพาไปได้ไกลๆ เมื่อตกลงบนใบหรือส่วนของพืชที่มีสภาพแวดล้อมเหมาะสม สปอร์จะงอกและเส้นใยเจริญเข้าไปในเซลล์หรืออยู่ระหว่างเซลล์ในเนื้อเยื่อพืช
  • วิธีการป้องกันและกำจัด ปลูกโหระพาให้มีความห่างประมาณ 3-5 เมตร เพื่อลดโอกาสเสี่ยงในการติดโรคราน้ำค้าง เนื่องจากความชื้นสูง
โรคราน้ำค้าง โหระพา
https://erawanagri.com/downy-mildew/

โรคราน้ำค้างบนพืชตระกูลกะหล่ำ

ได้แก่ กวางตุ้ง กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี คะน้า บล๊อคโคลี่ ผักกาดขาวปลี ผักกาดเขียว และผักกาดหัว เป็นต้น

  • สาเหตุ ในโรคราน้ำค้างที่เกิดขึ้นกับพืชตระกูลกะหล่ำนั้น เกิดจากการที่เชื้อราอย่าง Peronospora parasitica
  • ลักษณะการเกิดโรค ลักษณะของอาการโรคราน้ำค้างของพืชตระกูลกะหล่ำ แผลสีเหลืองต่อมาเป็นสีน้ําตาล แผลค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมขอบไม่แน่นอน ในการดูว่าการติดเชื้อของพืชรุนแรกมากน้อยเพียงใดนั้น ดูได้จากจำนวนของแผลที่เกิดบนส่วนต่างๆของพืช ถ้ามีจำนวนมาก จะถือว่ารุนแรงมาก โดยที่การเกิดแผลจะเกิดที่บริเวณส่วนล่างๆของพืชก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจะลามไปส่วนบริเวณด้านบนเรื่อยๆ ใบจะมีสีเหลืองและแห้งตายไปในที่สุด สำหรับต้นอ่อนของพืชตระกูลกะหล่ำ เริ่มมีแผลสีเหลืองที่ใบเลี้ยง และมักจะหลุดร่วงไป อาจจะทําให้ต้นเติบโตช้า สำหรับพืชตระกูลกะหล่ำที่มักเกิดโรคนี้อยู่บ่อยๆ
  • วิธีการป้องกันและกำจัด ผสมปุ๋ยหรือดูความเป็นกรด-ด่างของดินให้สมบูรณ์เสมอ เลือกเมล็ดพันธุ์ที่แข็งแรง ไม่ติดโรค

โรคราน้ำค้างบนพืชตระกูลแตง

  • สาเหตุ สำหรับโรคน้ำค้างสามารถเกิดได้ในพืชหลายๆชนิดด้วยกัน เช่น ข้าวโพด แคนตาลูป กุหลาบ หรือกระทั่งพืชในตระกูลแตง ในพืชตระกูลแตงเชื้อรา Pseudoperonospora cubensis จะเข้าไปทำลายพืชตระกูลแตงโดยเฉพาะ
  • ลักษณะการเกิดโรค ลักษณะของอาการโรคราน้ำค้างของพืชตระกูลแตง ส่วนใหญ่จะพบที่ใบล่าง หรือใบแก่ หรือโคนเถา มีปื้นเหลืองบนใบ ด้านหลังของใบอาจมองเห็นกลุ่มของเส้นใยหรือมองไม่เห็นด้วยตา จากนั้นปื้นสีเหลืองจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ขอบใบจะม้วนและร่วง ซึ่งโรคน้ำค้างจะเกิดในช่วงสภาพอากาศคือ อุณหภูมิ 16-22 องศาเซลเซียส และความชื้นสูง โรคราน้ำค้างมักจะเกิดขึ้นในเขตอบอุ่นและเขตร้อนชื้นที่มีปริมาณน้ำฝนและน้ำค้างพอเพียงกับระยะเวลาที่จะก่อให้เกิดการระบาดของโรคขึ้นได้
  • วิธีการป้องกันและกำจัด ควรจะฉีดพ่นด้วยคอปเปอร์อออกซีคลอไรด์ และหมั่นดูแลรักษาในช่วงฤดูฝนอย่างถี่ถ้วน
ราน้ำค้างแตง
https://kasetgo.com/t/topic/

แหล่งอ้างอิง

สถาบันเทคโนโลยีวิจัยการเกษตร
เรื่อง “ลดต้นทุนและปลอดภัย หากเกษตรกรใช้การจัดการศัตรูพืชแบบผสมผสาน” หัวข้อ โรคราน้ำค้าง, สำนักงานเกษตรจังหวัดตราด
งานวิจัยในเรื่องของ “ประสิทธิภาพของสารป้องกันกำจัดเชื้อราบางชนิดในการป้องกันกำจัดโรคราน้ำค้างของแตงกวา”, คุณพัชรา ปัจสมานวงศ์ และคณะ
หนังสือโครงการหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ด้านการเกษตร, ศูนย์ประสานงานสารนิเทศ สาขาเกษตรศาสตร์ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความนี้