ข้อมูลจากกรมป่าไม้ได้ระบุว่า ชนิด ของ ไม้ มีค่าทางเศรษฐกิจ หมายถึง ไม้ยืนต้นทุกชนิด รวมถึงไผ่ที่ปลูกหรือขึ้นเองตามธรรมชาติ กล่าวคือไม้มีค่าทางเศรษฐกิจเป็นไม้ที่สามารถนำมาสร้างมูลค่า หรือจะนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์และใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ก็ได้ สำหรับไม้ที่นิยมใช้ในปัจจุบันจะมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน เช่น ไม้สัก ไม้มะค่า ไม้ประดู่ ไม้แดง ไม้ยางพารา เป็นต้น
คุณค่าของไม้ในปัจจุบัน
กรมป่าไม้กล่าวว่า ปัจจุบันการใช้ประโยชน์จากไม้ยังคงได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าไม้จริงจะเป็นวัสดุที่หาได้ยากกว่าในอดีตก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนเลิกใช้ไม้ไปเลยซะทีเดียว เนื่องจากไม้เป็นวัสดุจากธรรมชาติที่สามารถนำไปใช้งานได้อย่างหลากหลาย และ ชนิด ของ ไม้ ยังมีมากมายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นใช้งานก่อสร้าง งานตกแต่ง งานเฟอร์นิเจอร์ งานแกะสลัก รวมถึงงานอื่น ๆ ก็ยังคงใช้ประโยชน์จากไม้ค่อนข้างมากทีเดียว จึงกล่าวได้ว่าในปัจจุบันไม้ยังคงเป็นวัสดุมีค่าที่มีการใช้งานมาอย่างยาวนาน
การแบ่งประเภทของไม้จริงที่ใช้ในปัจจุบัน
• ไม้เนื้ออ่อน มักเป็นไม้ที่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็วกว่าไม้เนื้อแข็ง ลำต้นมีขนาดใหญ่ เนื้อไม้ค่อนข้างเหนียว วงปีกว้าง สีของเนื้อไม้ดูจางหรือค่อนข้างซีด แข็งแรงและทนทานน้อยกว่าไม้เนื้อแข็ง จึงทำให้อายุการใช้งานค่อนข้างสั้น เพราะไม่ค่อยทนต่อสภาพอากาศและไม่สามารถรับน้ำหนักได้มากนัก อีกทั้งยังเป็นไม้ที่ปลวก มอดและแมลงสามารถเข้าทำลายได้ง่ายด้วย จึงนิยมใช้ในงานตกแต่งภายใน และแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงงานที่เน้นความสวยงามมากกว่าความแข็งแรง
• ไม้เนื้อแข็ง จัดเป็นไม้ที่มีคุณสมบัติตอบโจทย์การใช้งานในหลาย ๆ ด้านพอสมควร ไม้เนื้อแข็งจะมีอัตราการเจริญเติบโตช้ากว่าไม้เนื้ออ่อน ส่วนใหญ่ไม้ที่นำมาใช้ในงานก่อสร้างและงานตกแต่งภายนอกมักจะมีอายุหลายสิบปี ซึ่งจะมีวงปีมากกว่าไม้เนื้ออ่อน โดยทั่วไปผิวสัมผัสของไม้เนื้อแข็งจะมีความมัน เนื้อแน่น ลวดลายละเอียด แข็งแรงและทนทานสูง จึงนิยมใช้เป็นวัสดุโครงสร้าง งานก่อสร้างและตกแต่งภายนอก งานปูพื้น รวมถึงงานเฟอร์นิเจอร์
• ไม้เนื้อแกร่ง เป็นไม้ที่มีอัตราการเจริญเติบโตช้ามากที่สุด และถือเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงและทนทานมากเป็นพิเศษ โดยเฉลี่ยอายุของไม้จะไม่ต่ำกว่า 60–70 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่ไม้เนื้อแกร่งจะมีน้ำหนักไม่มากนัก แต่มีความแข็งกว่าไม้เนื้อแข็ง เนื้อไม้มีสีเข้มค่อนไปทางสีแดง และวงปีจะถี่กว่าไม้เนื้ออ่อนและไม้เนื้อแข็ง ส่วนใหญ่นิยมใช้เป็นโครงสร้าง เช่น เสา คาน ตง ขื่อ และพื้น เป็นต้น
ชนิด ของ ไม้ ที่นิยมใช้ มีอะไรบ้าง
• ไม้สัก เป็นไม้เนื้ออ่อนถึงแข็งปานกลาง ถือเป็นไม้ชนิดหนึ่งที่มีลวดลายสวยงามและมีเอกลักษณ์ เนื้อไม้สักจะมีความละเอียดและนิ่ม โดยไม้สักที่นิยมใช้จะมีสีน้ำตาลทอง เรียกว่าสักทอง นอกจากนี้ในเนื้อไม้สักจะมีสารชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘O–cresyl methyl ether’ ซึ่งเป็นสารที่มีกลิ่นของน้ำมันที่แมลงไม่ชอบ จึงทนต่อปลวก มอดและเห็ดราได้เป็นอย่างดี
• ไม้พยุง หรือไม้พะยูง เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความละเอียด เนื้อไม้แข็งแรงและทนทานมากพอสมควร อีกทั้งยังมีน้ำมันในตัวด้วย โดยเนื้อไม้พยุงจะมีสีม่วงอมแดง ลายไม้สวยงาม เหมาะกับกับการนำไปแกะสลัก และถือเป็น ชนิด ของ ไม้ ที่มีราคาแพงมากที่สุดในตลาด
• ไม้มะค่า มีทั้งมะค่าโมงและมะค่าแต้ จัดเป็นไม้เนื้อแข็ง เนื้อไม้หนักแน่นและหยาบ แต่มีลักษณะราบเรียบสม่ำเสมอ จัดเป็นไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีความแข็งแรง และทนต่อปลวก มอด ความชื้นและเชื้อราได้เป็นอย่างดี ลวดลายของไม้สวยงามคล้ายกับไม้สัก ซึ่งจะมีสีเหลืองอ่อนและสีเหลืองอมชมพู หลังจากนั้นสีของไม้จะเข้มขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุ และถ้าหากโดนแดดหรือโดนน้ำก็สามารถทำให้ไม้มะค่ามีสีเข้มขึ้นได้เช่นกัน
• ไม้ประดู่ เป็นไม้เนื้อแข็งชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นหอม เนื้อไม้มีความละเอียดปานกลาง ลวดลายของไม้จะมีลักษณะเป็นลายเสี้ยนและเป็นริ้วสวยงาม ซึ่งมีหลายเฉดสีด้วยกัน โดยจะมีตั้งแต่สีชมพูอมส้ม สีแดงอมเหลือง และสีอิฐแก่ ทั้งนี้สีของเส้นเสี้ยนมักจะดูแก่กว่าสีพื้น จัดเป็นไม้ที่มีความแข็งแรงและทนทานใกล้เคียงกับไม้แดง แต่โอกาสหดตัวจะน้อยกว่า
• ไม้ชิงชัน เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความเหนียวและละเอียดปานกลาง จัดเป็นไม้ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ เนื้อไม้ชิงชันมีสีน้ำตาลอ่อนอมเหลือง ส่วนแก่นไม้มีสีแดงเข้มค่อนข้างดำ และมีเส้นแทรกสีดำอยู่ในเนื้อไม้ด้วย ซึ่งลักษณะของไม้ชิงชันจะคล้ายกับไม้พยุง
• ไม้แดง เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความแข็งแรงและทนทานสูง เนื่องจากเนื้อไม้แดงจะค่อนข้างแน่นเป็นพิเศษ จึงทำให้สามารถรับน้ำหนักได้ดี ลายไม้มีลักษณะเป็นเส้นสีเข้ม และมีจุดดำแทรกอยู่ในเนื้อไม้ด้วย โดยเนื้อไม้จะมีสีน้ำตาลอมแดง และเมื่อเวลาผ่านไปจะทำให้ไม้มีสีแดงเข้มขึ้นเรื่อย ๆ
• ไม้เต็ง เป็นไม้เนื้อแข็งอีกหนึ่งชนิดที่มีความแข็งแรงและทนทานมาก เนื่องจากเนื้อไม้มีความแข็งและเหนียว ผิวสัมผัสหยาบ โดยเนื้อไม้จะมีสีน้ำตาลอ่อนหรือสีน้ำตาลออกเทา ๆ และถ้าหากตัดทิ้งไว้เป็นเวลานานก็อาจทำให้เนื้อไม้มีสีเข้มขึ้นได้ แต่ในส่วนของเสี้ยนลายไม้จะไม่ค่อยสวยนัก
• ไม้รัง เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีคุณสมบัติคล้ายกับไม้เต็ง แต่จะมีความแข็งแรงน้อยกว่า โดยเนื้อไม้รังจะมีสีน้ำตาลอมเหลือง ผิวสัมผัสหยาบหรือละเอียดปานกลาง ลวดลายของไม้จะไม่ค่อยสวยมากนัก แต่สามารถใช้ทดแทนไม้เต็งได้
• ไม้ตะแบก เป็นไม้เนื้อแข็งปานกลาง เนื้อไม้มีความละเอียด ลวดลายชัดเจน ลายเสี้ยนค่อนข้างตรง เนื้อไม้มีสีเทาหรือน้ำตาลอมเหลืองอ่อน โดยรวมถือว่ามีความสวยงามใกล้เคียงกับไม้สัก
• ไม้ตะเคียน เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความทนทาน ส่วนมากที่นิยมใช้จะเป็นไม้ตะเคียนทอง โดยเนื้อไม้มักจะมีรูมอดเล็ก ๆ เสมอ ถือเป็นลักษณะเฉพาะของไม้ชนิดนี้ ส่วนสีของเนื้อไม้จะเป็นสีน้ำตาลอมส้ม จัดเป็นไม้ที่มีอัตราการยืดหดต่ำ และสามารถทนต่อปลวกได้เป็นอย่างดี
• ไม้ยางพารา เป็นไม้เนื้ออ่อน เนื้อไม้มีความหยาบ เสี้ยนใหญ่ และค่อนข้างอ่อนตัวมากพอสมควร ในขณะที่ไม้ยางพารายังสดอยู่นั้นจะมีสีขาวอมเหลือง และเมื่อไม้แห้งแล้วจะมีสีขาวจางลง จัดเป็นไม้อีกหนึ่งชนิดที่ได้รับความนิยม เพราะสามารถหาได้ง่าย
• ไม้พะยอม เป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความเหนียวคล้ายกับไม้ตะเคียน จัดเป็นไม้อีกหนึ่งชนิดที่นิยมใช้สร้างบ้าน โดยเนื้อไม้มีสีเหลืองอ่อนถึงสีน้ำตาล ในกรณีที่ตัดไม้พะยอมทิ้งไว้เป็นเวลานานจะทำให้เนื้อไม้กลายเป็นสีน้ำตาลได้
วิธีเลือกใช้ไม้ให้เหมาะสมกับงาน
• งานก่อสร้างและตกแต่งภายนอก ไม้ที่ใช้ควรเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น มีความแข็งแรง ทนต่อสภาพอากาศ และสามารถรับน้ำหนักได้สูง เป็นต้น สำหรับไม้เนื้อแข็งที่เหมาะต่อการนำมาใช้ในงานก่อสร้างและตกแต่งภายนอก ได้แก่ ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้แดง และไม้มะค่า
• งานก่อสร้างและตกแต่งภายใน สำหรับการก่อสร้างและการตกแต่งภายใน สามารถใช้ได้ทั้งไม้เนื้อแข็งและไม้เนื้ออ่อน อย่างไรก็ตามไม้ที่นำมาใช้กับงานดังกล่าวควรมีความแข็งแรงอยู่บ้าง เพื่อเพิ่มอายุการใช้งานของไม้ให้อยู่ได้นานมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะนิยมใช้ไม้ที่มีลวดลายสวยงามเป็นหลัก เพราะเน้นโชว์งานไม้ สำหรับไม้ที่เหมาะกับงานก่อสร้างและตกแต่งภายใน ได้แก่ ไม้สัก ไม้แดง ไม้ตะแบก และไม้มะค่า
• งานปูพื้น วัสดุไม้ที่จะใช้ในการปูพื้นจำเป็นต้องมีความแข็งแรง ทนทาน และสามารถรับน้ำหนักได้มากพอสมควร หากเป็นการปูพื้นภายนอกหรือในพื้นที่กลางแจ้งควรเลือกไม้ที่มีคุณสมบัติทนต่อสภาพอากาศได้ดี สำหรับไม้ที่เหมาะกับงานปูพื้น ได้แก่ ไม้ประดู่ ไม้มะค่า และไม้แดง
• งานเฟอร์นิเจอร์ สามารถใช้ได้ทั้งไม้เนื้อแข็งและไม้เนื้ออ่อน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องเรือน ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ไม้ที่มีลวดลายสวยงามและแข็งแรง รวมถึงสามารถรับน้ำหนักได้ดี สำหรับไม้ที่เหมาะกับงานเฟอร์นิเจอร์ ได้แก่ ไม้สัก ไม้พยุง ไม้ประดู่ ไม้มะค่า ไม้แดง และไม้ยางพารา
• งานแกะสลัก ไม้ที่ใช้จะต้องมีเนื้อไม้ที่ไม่แข็งจนเกินไป มีลวดลายที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์ หดตัวน้อย และทนต่อสภาพอากาศ ปลวก มอดและแมลงได้เป็นอย่างดี สำหรับ ชนิด ของ ไม้ ที่นิยมใช้ในงานแกะสลัก ได้แก่ ไม้สัก ไม้พยุง และไม้สน
ข้อดีของการนำไม้มาใช้งาน
• ช่วยให้งานดูสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นการนำไม้มาก่อสร้าง ตกแต่ง แกะสลัก ทำเฟอร์นิเจอร์หรือเครื่องมือเครื่องใช้ประเภทใดก็ตาม สิ่งของเหล่านั้นมักจะมีความสวยงามและเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งได้จากสีและลวดลายของเนื้อไม้ เนื่องจากไม้แต่ละชนิดมีสีและลวดลายแตกต่างกัน จึงทำให้การนำไม้มาใช้จะได้งานที่มีลักษณะต่างจากวัสดุอื่น ๆ
• ช่วยเพิ่มความแข็งแรง ทนทาน ไม้เป็นวัสดุจากธรรมชาติที่มีความแข็งแรงและทนทานไม่น้อยกว่าวัสดุอื่น ๆ โดยเฉพาะไม้เนื้อแข็งที่สามารถรับน้ำหนักได้สูง เมื่อนำมาใช้ในงานก่อสร้าง งานตกแต่งภายในและภายนอก รวมถึงการแปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ จะช่วยให้วัตถุเหล่านั้นมีความแข็งแรงและทนทานสูง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ ชนิด ของ ไม้ ด้วยว่ามีความแข็งแรงมากน้อยเพียงใด
• สามารถใช้งานได้หลากหลายและตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากไม้จริงมีให้เลือกหลากหลายชนิด และไม้แต่ละชนิดจะมีจุดเด่นเป็นของตัวเอง ถือเป็นวัสดุที่มีทั้งความสวยงามและความแข็งแรง ซึ่งสามารถใช้ในงานก่อสร้างและงานตกแต่งทั้งภายนอกและภายใน แปรรูปเป็นเฟอร์นิเจอร์ เครื่องมือเครื่องใช้ประเภทต่าง ๆ ใช้เป็นเชื้อเพลิง รวมถึงการแกะสลัก และอื่น ๆ อีกมากมาย
• ดีต่อสิ่งแวดล้อม เพราะไม้จริงเป็นวัสดุจากธรรมชาติที่มีการปลูกทดแทนหลังจากเก็บเกี่ยวในแต่ละครั้ง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้มีการปลูกไม้มากขึ้น อีกทั้งไม้ยังเป็นวัสดุที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก สามารถนำกลับมาใช้งานซ้ำได้หากยังไม่เสื่อมสภาพ และที่สำคัญไม้เป็นวัสดุที่ใช้พลังงานในการผลิตและกำจัดน้อยกว่าวัสดุอื่น ๆ อีกด้วย
จุดเด่นของไม้ที่มีเอกลักษณ์และแตกต่างจากวัสดุอื่น ๆ
ไม้เป็นวัสดุจากธรรมชาติที่มีเอกลักษณ์ค่อนข้างสูง โดยไม้แต่ละชนิดจะมีลักษณะและคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป ด้วยลวดลายและสีของเนื้อไม้ที่ดูเป็นธรรมชาติ จึงทำให้กลายเป็นจุดเด่นของวัสดุไม้จริง จึงสรุปได้ว่า ชนิด ของ ไม้ ต่าง ๆ จะมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน และสามารถเลียนแบบให้เหมือน 100% ได้ค่อนข้างยาก นั่นจึงทำให้ไม้จริงมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างไปจากวัสดุอื่น ๆ อย่างสิ้นเชิง